เพิ่มอำนาจการลงโทษ ศธภ.-ศธจ. ย้ำเปลี่ยนให้ทันสมัยรับสภาวการณ์
นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า จากการประชุม ก.ค.ศ. โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ คือให้ยกเลิกระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยและการออกจากราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2551 และเห็นชอบร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยและการออกจากราชการของ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ... เนื่องจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 ลงวันที่ 3 เม.ย.2560 ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้มีศึกษาธิการภาค (ศธภ.) และศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสังกัด และกำหนดให้มี กศจ. รวมทั้งให้ศึกษาธิการจังหวัด โดยอนุมัติ กศจ. มีอำนาจในการบรรจุและแต่งตั้ง ตามมาตรา 53 (3) และ (4) ประกอบกับกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยอำนาจการลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน พ.ศ.2561 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 20 ส.ค.2561 โดยกำหนดเพิ่มเติมอำนาจการลงโทษของ ศธภ. และ ศธจ. และอัตราการลงโทษใหม่
เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวอีกว่า ร่างระเบียบ ก.ค.ศ.ฉบับใหม่ สาระสำคัญยังคงเป็นไปตามหลักการเดิม ตามระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการรายงานการดำเนินการทางวินัยและการออกจากราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2551 แต่ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องบางประการ อาทิ รายงานการดำเนินการทางวินัยและมีการอุทธรณ์ โดยกำหนดให้การพิจารณาอุทธรณ์ถือเป็นการพิจารณารายงานการดำเนินการทางวินัย ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ การรายงานการดำเนินการทางวินัยไม่ร้ายแรงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้รายงานไปยังผู้บังคับบัญชาและ กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง แล้วแต่กรณี เมื่อ กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ.ตั้งพิจารณาแล้ว ให้รายงานไปยังหัวหน้าส่วนราชการ หากเห็นชอบเรื่องวินัยเป็นอันยุติ หากมีความเห็นขัดแย้ง ให้เสนอ ก.ค.ศ. ส่วนรายงานการดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงให้เสนอหรือรายงาน กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง แล้วแต่กรณี พิจารณาแล้วรายงาน ก.ค.ศ.เพื่อพิจารณาตามลำดับต่อไป.
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก ไทยรัฐ วันที่ 8 กันยายน 2561