น้องสาวคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวที่พ่อจากไปตั้งแต่แม่ยังสาว และน้องๆ ของเธอยังเยาว์วัย
เป็นการจากไปอย่างกะทันหัน มิได้มีการเตรียมการ
ไม่ว่าจะเป็นในด้านของแม่ซึ่งเป็นภริยา ไม่ว่าจะเป็นในด้านของลูกๆ ซึ่งล้วนได้รับความอบอุ่นจากพ่อเป็นอย่างดี
ในเบื้องแรก ทุกคนจึงเกิดความเคว้งคว้างไม่แน่ใจ
แต่ภายในเวลาอันรวดเร็ว แม่ซึ่งเป็นคนทำงานหนักมาโดยตลอด ก็ปรับตัวได้ เป็นการปรับตัวโดยการดำรงสถานะ ที่ควบทั้งความเป็นแม่ และความเป็นพ่อไปด้วยในขณะเดียวกัน
น่ายินดีที่ลูกทุกคนสมองดี ขยันขันแข็งและเรียนเก่ง
ในฐานะลูกสาวคนโต เธอกับแม่จึงมีความเข้าใจกันอย่างเป็นเอกภาพ เข้าใจในความเสียสละของแม่ เข้าใจว่าตนเองต้องเสียสละเพื่อน้องอีกหลายคน
เข้าใจและตระหนักว่า ตนเองจะต้องเป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ของน้องๆ
ความเข้าใจนี้ในเบื้องต้น เป็นเรื่องดี แต่ในท่ามกลางการเติบใหญ่ของเธอ และการร่วงโรยลงเป็นลำดับของแม่ ก็เกิดความแปรเปลี่ยนในทางความคิด กระทั่งกลายเป็นความขัดแย้ง
เป็นความขัดแย้งในลักษณะที่ช่วงชิงการนำภายในบ้าน
น่ายินดีที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งในหมู่พวกเดียวกัน เป็นความขัดแย้งที่ไม่มีลักษณะปรปักษ์ เป็นความขัดแย้งที่สามารถประนีประนอมกันได้
ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งระหว่างน้องสาวคนนั้น ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตกับแม่เกิดขึ้น เพื่อนคนหนึ่งมักเสนอแนะให้เธอกลับไปง้อขอคืนดีกับแม่
คำพูดที่ติดปากก็คือ "โชคดีนะที่เธอยังมีแม่อยู่"
ที่พูดเช่นนี้ เพราะว่าเพื่อนคนนั้นเป็นกำพร้า แม่ของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว พ่อของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว
เพื่อนคนนั้น มีชีวิตอยู่อย่างแตกต่างไปจากน้องสาวคนนั้น เป็นอย่างมาก
มองจากพื้นฐานของเพื่อนคนนั้น การดำรงอยู่ของน้องสาวคนนั้น ย่อมอบอุ่นกว่า เพราะน้องสาวคนนั้นยังมีแม่อยู่
มีแม่อยู่อันเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร
อย่างน้อยเมื่อประสบปัญหาในชีวิต ไม่ว่าปัญหาในเรื่องส่วนตัว ในเรื่องการทำงาน ก็ยังมีแม่อยู่ที่บ้าน
แม่ที่พร้อมจะเปิดใจรับฟังปัญหาของลูก
แม่ที่พร้อมจะอ้าแขนโอบกอดให้ความอบอุ่น แม่ที่พร้อมจะเอ่ยปากให้กำลังใจลูก ให้ยืนหยัดต่อสู้ต่อไป
นี่ย่อมต่างไปจากคนที่เมื่อกลับบ้าน ไม่มีทั้งพ่อและแม่รออยู่
มีความว้าเหว่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อกลับไปถึงบ้าน แล้วไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่รออยู่
รออยู่และคอยถามว่า "เหนื่อยไหมลูก" รออยู่และคอยถามว่า "กินข้าวมาแล้วหรือยังลูก" รออยู่และเฝ้ามองด้วยความห่วงหาอาทร
คนที่มีพ่อมีแม่รออยู่ ย่อมไม่เข้าใจในสิ่งที่ขาดหายไป กระทั่งมองเห็นว่าไร้ค่า
ต่อเมื่อไม่มีทั้งพ่อ ต่อเมื่อไม่มีทั้งแม่ รออยู่ที่บ้านอีกนั่นแหละ จึงจะตระหนักในสภาพที่ขาดหายไป
และก็จะเริ่มถวิลหา อาวรณ์
เช่นนี้เอง กวีนิพนธ์ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ที่ว่า "อนิจจา น่าเสียดาย / ฉันทำชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง / ส่วนที่สูญนั้นลึกซึ้ง / มีน้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์"
จึงทรงความหมาย
ความหมายในแง่ที่ว่า หากไม่เคยประสบกับความสูญเสีย ก็จะไม่รู้สึก นั่นก็คือ ไม่รู้สึกว่าในความสูญเสียนั้น เป็นเรื่องยิ่งใหญ่
เพราะในความสูญเสียนั้น คือ "น้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์"
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้องสาวคนนั้น กับเพื่อนคนนั้นของเธอ กล่าวได้ว่า น้องสาวคนนั้นอยู่ในฐานะที่สมบูรณ์มากยิ่งกว่า เพราะไม่เพียงแต่จะมีแม่คอยให้ความอบอุ่น คอยเช็ดน้ำตาให้เท่านั้น
ที่สำคัญก็คือ เมื่อกลับถึงบ้านก็ยังมีแม่รออยู่
มือที่อ่อนโยนที่สุด ย่อมเป็นมือแห่งความรัก มือที่อบอุ่นที่สุด ย่อมเป็นมือแห่งความห่วงหาอาทร จากคนที่รักและห่วงหาอาทร
โลกนี้ไม่มืดอย่างแน่นอน หากยังมีคนที่รักเราอยู่โดยรอบ
โลกนี้มีความหวังแจ่มจรัสอย่างแน่นอน หากทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักในวงแคบ ภายในครอบครัว หรือความรักในวงกว้างต่อโลก และมนุษยชาติก็ตาม
ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมสว่างไสว งดงามยิ่ง
วิภาค แห่ง วิพากษ์