ข้อมูลจากการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันพุธ ที่ 18 เมษายน 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธาน ก.ค.ศ. เป็นประธานการประชุม และศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมประชุม
● แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษา
1) รับทราบรายงานผลการอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองอุบลราชธานี
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองอุบลราชธานีที่สั่งทุเลาการบังคับใช้ข้อ 10 และ ข้อ 11 ของ ว24/2560 ตามที่ศาลปกครองอุบลราชธานี มีคำสั่งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2560 ในคดีดำหมายเลขดำที่ บ.75/2560 ระหว่างผู้ฟ้องคดี กับคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ถูกฟ้องคดี ให้ทุเลาการบังคับตามข้อ 10 และข้อ 11 ของหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ด่วนที่สุด ที่ ศธ 0206.4/ว24 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา นั้น
บัดนี้ ศาลปกครองอุบลราชธานีได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ตามคำสั่งที่ คบ.51/2561 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 แล้ว โดยศาลปกครองสูงสุดมีความเห็นว่า หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดังกล่าว ไม่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งทุเลาการบังคับนั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นด้วย จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นเป็นยกคำขอของผู้ฟ้องคดี โดยให้เหตุผลสรุปดังนี้
1) แม้ว่าจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์การย้าย โดยอาศัยจังหวัดและขนาดสถานศึกษาเดียวกันเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาก่อนก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์โดยรวมแล้ว มิได้มุ่งประสงค์ที่จะยึดเอาแต่เขตจังหวัดหรือสถานศึกษาเป็นเกณฑ์หลักในการพิจารณาแต่เพียงอย่างเดียว
2) การให้มี กศจ.ทำหน้าที่แทน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา บริบทในการบริหารงานบุคคลจึงเปลี่ยนแปลงไป ก.ค.ศ.ย่อมมีอำนาจที่จะทำการปรับปรุงหลักเกณฑ์การบริหารงานบุคคลเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการและนโยบายปฏิรูปการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปได้
3) ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การที่ ก.ค.ศ. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าว มีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ
4) เมื่อหลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ประกอบกับข้อ 72 วรรคสาม แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ที่จะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับ
จากคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว มีผลให้การย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถดำเนินการ โดยใช้หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ด่วนที่สุด ที่ ศธ 0206.4/ว24 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 ต่อไปได้
2) ให้ "ยกเลิก" มติชะลอการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สพฐ. และให้ย้ายตาม ว24 ให้แล้วเสร็จภายใน 16 พ.ค.61
ดังนั้น ที่ประชุมจึงเห็นชอบ ให้ยกเลิกมติชะลอการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สพฐ. ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ด่วนที่สุด ที่ ศธ 0206.4/734 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2560 และเห็นชอบแนวทางการดำเนินการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สพฐ. โดยให้ดำเนินการพิจารณาย้ายตามหลักเกณฑ์ ว24/2560 ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2561
ซึ่งในวันที่มีมติให้มีการชะลอการย้ายฯ มีการดำเนินการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา 6 กรณี ได้แก่
1) กรณีที่พิจารณาแล้วมีมติอนุมัติ และออกคำสั่งตามมติดังกล่าวแล้ว และได้ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานศึกษา ตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว จำนวน 17 จังหวัด
2) กรณีที่พิจารณาแล้วมีมติอนุมัติ และออกคำสั่งตามมติดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานศึกษาตามคำสั่งดังกล่าว จำนวน 5 จังหวัด
3) กรณีที่ กศจ.พิจารณาแล้ว แต่ยังไม่ออกคำสั่ง จำนวน 18 จังหวัด
4) กรณีที่ อกศจ. พิจารณาแล้ว แต่ยังไม่นำเสนอ กศจ. จำนวน 16 จังหวัด
5) กรณีที่กลั่นกรองการย้ายแล้ว แต่ยังไม่เสนอ อกศจ. และ กศจ. จำนวน 5 จังหวัด
6) กรณีที่ยังไม่ดำเนินการใด ๆ จำนวน 12 จังหวัด
ทั้งนี้ มีจังหวัดที่ยังไม่ได้รายงานข้อมูลการดำเนินการ จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด และหนองคาย