19 ข้าราชการสพฐ.โดนให้ออกไว้ก่อนเซ่นมาตรการคสช.
"สพฐ."ประเดิมใช้อำนาจตามมาตรการ คสช.ให้ข้าราชการออกไว้ก่อน 19 รายระหว่างสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงกรณีทุจริต
วันนี้(17เม.ย.)ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตนได้รายงานให้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ทราบ เรื่องการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและปราบทุจริตในระบบราชการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีผู้เกี่ยวข้องที่ต้องถูกดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวทั้งสิ้น 31 ราย แบ่งเป็น ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 5 ราย โดยให้ออกจากราชการไว้ก่อน 1 ราย ให้ออกจากพื้นที่ 3 ราย ให้มาประจำส่วนราชการ 1 ราย ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสพท. 5 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อน 2 ราย และให้ออกจากพื้นที่ 3 ราย ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา 14 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อนทั้งหมด ตำแหน่งครู 1 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อน และตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษา 5 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อน 1 รายและให้ออกจากพื้นที่ 4 ราย ทั้งนี้ในส่วนที่เป็นอำนาจของเลขาธิการ กพฐ.ในการลงนามในคำสั่ง คือ ตำแหน่งผู้อำนวยการ สพท. รองผู้อำนวยการ สพท. นั้น ตนได้ลงนามแล้วเรียบร้อย ส่วนที่เหลือจะส่งให้นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดศธ. แจ้งให้ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการลงนามต่อไป
“การใช้มาตรการ ของคสช.ครั้งนี้ ถือเป็นการล้างท่อ กรณีให้ออกจากราชการไว้ก่อน คือ มีคำสั่งศาลว่ากระทำความผิดจริง หรือคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง สรุปโทษเพื่อเสนอคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เห็นชอบให้ลงโทษแล้ว ส่วนการให้ย้ายออกจากพื้นที่ คือ ผ่านการสืบสวนแล้ว อ มีข้อมูลชัดเจนว่า มีแนวโน้มที่จะกระทำผิดจริง จึงให้ย้ายออกจากพื้นที่ไว้ก่อน และอยู่ระหว่างสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแต่ยังไม่สรุปผล ยืนยันว่า ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง เพราะมีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและปราบทุจริตในระบบราชการของคสช. ของสพฐ. ซึ่งมีเลขาธิการกพฐ. เป็นประธานขึ้นมาพิจารณาโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการถูกฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คนที่ถูกใช้คำสั่งตามมาตรการ คสช.ครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการทุจริตประพฤติมิชอบ กับ ทำผิดระเบียบพัสดุและระเบียบการเงินการคลัง จนทำให้ราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง โดยทั้ง 31 รายนี้เป็นอำนาจการพิจารณาของสพฐ. สำหรับส่วนในพื้นที่ อยู่ระหว่างรอข้อมูลจากสพท.และเตรียมจะนัดประชุมกับศธจ. เพื่อดำเนินการตามาตรการดังกล่าว”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
“บุญรักษ์” ใช้กฎเหล็ก คสช.ล้างท่อคนโกง กวาดรวด 31 ราย
ให้ออกราชการ 19 ราย ยันผิดจริงไม่ได้กลั่นแกล้งใคร
ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ได้รายงานความคืบหน้าเรื่องการดำเนินการตามมาตรการป้องกัน และปราบทุจริตในระบบราชการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีผู้เกี่ยวข้องที่ต้องถูกดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวทั้งสิ้น 31 ราย แบ่งเป็น ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) 5 ราย โดยให้ออกจากราชการไว้ก่อน 1 ราย ให้ออกจากพื้นที่ 3 ราย ให้มาประจำส่วนราชการ 1 ราย รอง ผอ.สพท. 5 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อน 2 ราย และให้ออกจากพื้นที่ 3 ราย ผอ.สถานศึกษา 14 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อนทั้งหมด ครู 1 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อน และบุคลากรทางการศึกษา 5 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อน 1 รายและให้ออกจากพื้นที่ 4 ราย ทั้งนี้ในส่วนที่เป็นอำนาจของเลขาธิการ กพฐ.ในการลงนามในคำสั่ง คือ ตำแหน่ง ผอ.สพท. รอง ผอ.สพท. ตนได้ลงนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือจะส่งให้นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แจ้งให้ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการลงนามต่อไป
“การใช้มาตรการของ คสช.ครั้งนี้ถือเป็นการล้างท่อ กรณีให้ออกจากราชการไว้ก่อน คือ มีคำสั่งศาลว่ากระทำความผิดจริง หรือคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง สรุปโทษเพื่อเสนอคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เห็นชอบให้ลงโทษแล้ว ส่วนที่ให้ย้ายออกจากพื้นที่ คือ ผ่านการสืบสวนแล้วมีข้อมูลชัดเจนว่ามีแนวโน้มที่จะกระทำผิดจริง จึงให้ย้ายออกจากพื้นที่ไว้ก่อนและอยู่ระหว่างสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแต่ยังไม่สรุปผล”
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวและว่า ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ใช่การกลั่นแกล้ง เพราะมีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการตามมาตรการ ของ คสช. โดยมีตนเป็นประธานพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการถูกฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ผู้ที่ถูกใช้คำสั่งตามมาตรการ คสช.ครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการทุจริตประพฤติมิชอบ กับทำผิดระเบียบพัสดุและระเบียบการเงินการคลัง จนทำให้ราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ส่วนการดำเนินการในพื้นที่ต้องรอข้อมูลจาก สพท. และเตรียมนัดประชุมกับ ศธจ. เพื่อดำเนินการตามมาตรการต่อไป.
ที่มา: www.thairath.co.th