เอกชนเสนอชื่อร่วมพัฒนา 70 ร.ร. แต่หวั่นเปลี่ยนรัฐบาลโครงการสะดุด
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ศ.นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบพลับบลิคสคูล (Public School) ว่า ที่ประชุมได้เปลี่ยนชื่อโครงการพลับบลิค สคูล เป็นพาร์ตเนอร์ชิพสคูล (Partnership School) หรือโรงเรียนร่วมพัฒนา โดยโรงเรียนยังเป็นของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีงบประมาณให้แต่การบริหารจัดการโรงเรียนทำโดยท้องถิ่น ประชาสังคม ผู้ปกครอง ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งจะแตกต่างจากโรงเรียนประชารัฐที่มีอยู่ 3,000 กว่าโรง ที่ภาคสังคมจะเข้ามามีส่วนช่วยเฉยๆ ซึ่งคณะทำงานหวังว่าจะเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการโรงเรียนของ ศธ.ทั้งหมด ซึ่งตนคิดว่าหากมีการพัฒนาและเดินตามแนวนี้ไปเรื่อยๆ ใน 20 ปีโรงเรียนในไทยจะเหมือนในต่างประเทศที่เจริญแล้ว
รมช.ศธ.กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องการ บริหารงานบุคคล ซึ่งผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ที่เข้าร่วมประชุมด้วยบอกว่า สามารถปลดล็อกได้ ระเบียบเปิดไว้แต่ที่ผ่านมาเราไม่กล้าทำ ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงสามารถกำหนดเรื่องของการจ้างครูใหม่ การกำหนดคุณสมบัติผู้อำนวยการโรงเรียนที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ 4 ปี อย่างต่อเนื่อง ส่วนเงินเดือนของผู้ปฏิบัติงานจะใช้อัตราเงินเดือนเดิม เพียงแต่มีการประเมินผลการทำงานตามเป้าหมายของสถานศึกษาซึ่งจะมีเงินท็อปอัพระหว่างปฏิบัติหน้าที่โรงเรียนร่วมพัฒนา การกำหนดหลักสูตรสามารถกำหนดเองได้ยืดหยุ่นอีก 30% ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สพฐ.ทำคู่มือปฏิบัติงานพร้อมทั้งหน่วยงานประสานงานกลางขึ้นเพื่อดูแลโรงเรียนร่วมพัฒนา มีเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธาน ช่วยดูแลเวลาโรงเรียนมีปัญหาด้วย
“ขณะนี้มีบริษัทเอกชน 10 แห่งเสนอรายชื่อโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนามาแล้วประมาณ 70 โรง และมีอีกหลายบริษัทที่อยากเข้ามาช่วยพัฒนาโรงเรียน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป คาดจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย.นี้ และทันเปิดเรียนปีการศึกษา 2561 แน่นอน นอกจากนี้บริษัทที่เข้าร่วมประชุมวันนี้ได้แสดงความกังวลว่า หากเปลี่ยนรัฐบาลนโยบายจะเปลี่ยนไป ซึ่งผมให้คำยืนยันว่าได้เขียนไว้ในแผนยุทธศาสตร์ ศธ. ซึ่งสอดคล้องแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี มีพระราชบัญญัติกำกับไว้ และหากเป็นโครงการที่ดี ใครมาทำให้แย่ลงสังคมคงไม่ยอม” ศ.นพ.อุดมกล่าว.
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก ไทยรัฐ วันที่ 12 เมษายน 2561