ถ้าจะพูดถึงอบเชย ก็คงจะคุ้นหูอยู่บ้างนะค่ะ โดยมากแล้วจะใส่ในน้ำพะโล้ เครื่องแกง มัสมั่น ผงกะหรี่ ข้าวหมกไก่ และใช้แต่งกลิ่น อาหารคาว หวาน อีกหลายประเภท ทางด้านเภสัชกรรม ยังนำอบเชยมาใช้ในการกลั่นยา เช่น ยาเตรียมที่จะใช้สำหรับช่องปาก ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และขับลม แก้จุกเสียด แน่นท้องได้ด้วย หรือใช้ในการปรุงเป็นยาหอม ยานัตถุ์ ช่วยทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ ของ อบเชยคือ Cinnamon spp. เว็บไซต์ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ Newscientist.com ได้รายงานถึงข่าวใหม่ของประโยชน์ในการรับประทานอบเชยว่า
ริชาร์ด แอนเดอร์สัน จากศูนย์วิจัยด้านสารอาหารเพื่อมวลมนุษย์ ของกระทรวงเกษตรกรรม แห่งสหรัฐอเมริกา ที่เมืองเบลท์สวิลล์ รัฐแมรี่แลนด์ ได้ทำการวิจัยพบว่า ผงอบเชยมีสารประกอบ โพลีฟีนอลชนิดละลายน้ำได้เรียกว่า M H C P เมื่อทดสอบในกานหลอดทดลองพบว่า M H C P นี้ทำหน้าที่เลียนแบบฮอร์โมน อินซูลิน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินมากขึ้น หลังจากนั้นได้ทำการทดสอบในอาสาสมัครชาวปากีสถานที่เป็นเบาหวาน โดยให้รับประทานผงอบเชย แคปซูล ขนาด 1 , 3 ,6 กรัมต่อวัน หลังอาหาร พบว่าไม่กี่สัปดาห์ต่อมาระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยต่ำกว่าคนในกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้กินอบเชยประมาณ 20% และหากหยุดรับประทานพบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดกลับสูงขึ้นเหมือนเดิม
นอกจากนี้แล้วยังให้ประโยชน์ในการควบคุมไขมันในเลือดและคอเลสเตอรอลชนิด LDL ได้ด้วย
ขนาดแนะนำ ให้รับประทานคือ เพียงวันละ ¼ - ½ ช้อนชาผสมในอาหารหรือนำมาผสมกับชา กาแฟ ก็ได้นะค่ะ
ดังนั้นอบเชยอาจเป็นอีกทางเลือกเสริม แต่ไม่ใช่ยารักษานะคะดังนั้นจึงควรหมั่นเช็คระดับน้ำตาลในเลือด รับประทานยาควบคู่กับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายด้วยนะคะ
เรียบเรียงโดย : เภสัชกร สายขวัญ ลิ้มสุขนิรันดร์