ศธ. ถก ป.ป.ง.ร่วมตรวจสอบเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต 15 มี.ค.นี้ จ่อ อายัดทรัพย์สินเครือญาติข้าราชการซี 8 ศธ.ที่เปิดบัญชี 22 บัญชีไว้โอนเงินจากกองทุนฯ ปลัด ศธ. เผย เร็วๆนี้ พิจารณาโทษวินัยร้ายแรง “รจนา” ข้าราชการซี 8 ทุจริตเงินเด็ก
วันนี้ (14 มี.ค.) นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากลุ่มตรวจสอบภายใน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ตรวจสอบบัญชีงบประมาณ ประจำปี 2560 ของสำนักงานปลัดศธ. พบมีการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต โดยมีการโอนเงินทุนการศึกษาของนักเรียนในโครงการเข้าบัญชีของบุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปี 2551-2561 เป็นจำนวนเงินรวมกว่า 88 ล้านบาท ล่าสุดพบว่ามีข้าราชการฝ่ายปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง จำนวน 5 ราย และได้ถูกสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่หน่วยงานอื่น และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงไปแล้ว ว่า ผู้ที่สารภาพ 1 ราย คือ นางรจนา สินที ข้าราชการซี 8 ของศธ. ซึ่งขณะนี้ตนให้ไปช่วยราชการที่สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ของสำนักงานปลัด ศธ. เพื่อเปิดทางให้การสืบสวนข้อเท็จจริงทำได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งในวันที่ 15 มี.ค.นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) จะมาหารือร่วมกับตน เพื่อขอข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณว่าเป็นอย่างไรบ้าง ขณะเดียวกัน ป.ป.ง.จะมาช่วยเรื่องการดำเนินการอายัดทรัพย์สินเครือญาตินางรจนาที่ไปเปิดบัญชี 22 บัญชีในการถ่ายโอนเงินจากกองทุนเข้าบัญชีดังกล่าว
ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้วางแนวทางการเยียวยาเด็กที่ได้รับทุนจากกองทุนนี้ โดยเบื้องต้นจะมีการสำรวจนักศึกษา ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ได้รับทุนมากที่สุด และจะมีการตรวจสอบย้อนหลังกับเด็กที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วและเด็กที่อยู่กำลังศึกษาอยู่ว่าได้รับทุนครบและตรงตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาเยียวยา พร้อมกับสำรวจไปยังครูโรงเรียนราชประชานุเคราะห์และโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ 53 คน เกี่ยวกับข้อมูลการโอนเงินด้วย เพื่อดูว่าจะนำเงินกลับเข้ามาคืนกองทุนฯได้หรือไม่ เพราะการสำรวจข้อมูลของเด็กที่ได้รับเงินจากกองทุนนั้นจะเป็นการเก็บเป็นข้อมูลให้บอร์ดกองทุนเสมาฯพิจารณา เพื่อหาทางเยียวยาต่อไป
“ในเร็วๆนี้จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนของสำนักงานปลัด ศธ. โดยจะมีการเสนอให้พิจารณาโทษความผิดวินัยร้ายแรงกับนางรจนา เพราะถือว่าเป็นความผิดชัดแจ้งที่เจ้าตัวสารภาพจึงไม่ต้องมีการสอบสวนวินัยอีก และก็ถือว่าเป็นไปตามกฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ซึ่งโทษวินัยร้ายแรงก็มีอยู่ 2 กรณี คือ ไล่ออก กับ ปลดออก ส่วนผู้เกี่ยวข้องคนอื่นๆคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงก็จะลงสืบข้อมูลเชิงลึก ซึ่งก็ให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ทั้งนี้ผมยังมอบหมายให้กลุ่มตรวจสอบภายในของ สป.ขยายผลการตรวจสอบไปยังกองทุนต่างๆของศธ.ด้วย โดยให้สำรวจแบบเจาะลึก เพราะเป็นข้อสั่งการจาก รมว.ศึกษาธิการ เนื่องจากมีความเป็นห่วงไม่อยากให้เกิดแบบกรณีนี้อีก ซึ่งผลกระทบจะเกิดกับเด็ก” ปลัด ศธ.กล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561