ตามที่บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค (2) ได้ทำหนังสือถึง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เพื่อให้ขอทบทวนกรอบอัตรากำลังของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปการศึกษาในส่วนภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีการปรับโครงสร้างการบริหารในส่วนภูมิภาค จัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายต้องมีการบูรณาการภารกิจของหน่วยงานต่างๆ และต้องเกลี่ยอัตรากำลังจากสพท. ไปยังสำนักงาน ศธภ. และ สำนักงาน ศธจ. ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำลังดำเนินการปรับโครงสร้างกรอบอัตรากำลังของ สพท.นั้น
นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวว่า เดิมการกำหนดอำนาจหน้าที่ของ สพท. เป็นไปตามที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กำหนด แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในอำนาจหน้าที่กับคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความ สงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 19/2560 ยังไม่สอดคล้องกัน และเท่าที่ตนคุยกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทราบว่า เนื้องานที่ สพท.รับผิดชอบมีมากกว่าที่ปรากฏอยู่ในเอกสาร ดังนั้นจึงให้ใช้กรอบอัตรากำลังเดิมไปก่อนอีก 1 ปี แล้วค่อยมาทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า ภาระงานที่ไม่ได้ปรากฏในเอกสารที่แท้จริงมีอะไรบ้าง เพื่อกำหนดกรอบอัตรากำลังใหม่ที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามการเกลี่ยอัตรากำลังครั้งนี้ แม้ว่าจะมีตำแหน่งชำนาญการพิเศษลดลง แต่จะไม่ทำให้ข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งอยู่ปัจจุบันเสียสิทธิหรือความก้าวหน้าที่พึงมี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุผลที่บุคลากรฯมาตรา 38 ค (2) ต้องมาร้องขอความเป็นธรรม เพราะกรอบอัตรากำลังที่คณะทำงาน ก.ค.ศ.เสนอนั้น มีความคลาดเคลื่อนจากภารกิจของ สพท. ที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน เช่น ภาระงานของกลุ่มบริหารการเงินและสินทรัพย์ ซึ่งทำหน้าที่เบิกจ่ายเงิน ดูแลจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้แก่หน่วยงานและเบิกจ่ายเงินให้แก่โรงเรียนเอกชนตามภาระงานของกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน แต่คณะทำงานวิเคราะห์ว่า ไม่มีงานใดของกลุ่มบริหารการเงินและสินทรัพย์ใดที่แยกจาก สพท.ไปให้สำนักงาน ศธจ. ทั้ง ๆ ที่งานเบิกจ่ายเงินของโรงเรียนเอกชนต้องตามกลุ่มส่งเสริมเอกชนไปอยู่ที่สำนักงานศธจ.ด้วย ถือเป็นการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด
นอกจากนี้ยังตัดความก้าวหน้าในทางราชการของบุคลากรฯ มาตรา 38 ค (2) ลง คือ กรอบอัตรากำลังที่ใช้อยู่ปัจจุบัน (ปี 2556) กำหนดให้มีตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษ นอกเหนือจากตำแหน่ง ผอ.กลุ่ม/หน่วย อีกกลุ่ม/หน่วย ละ 1 ตำแหน่ง แต่การจัดกรอบอัตรากำลังใหม่ได้ปรับลดระดับชำนาญการพิเศษลง จนบางกลุ่ม/หน่วยเหลือเพียง ผอ.กลุ่ม/หน่วยเพียงตำแหน่งเดียว เท่ากับเป็นการลดจำนวนอัตรากำลังของแต่ละกลุ่มที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น.
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 12 ก.ย. 2560 (กรอบบ่าย)