ปอมท.ขีดเส้นมหา'ลัยกลับไปเปิดเทอมเหมือนเดิม ไม่ขอตามปฏิทินอาเซียน เตรียมยื่นข้อเสนอถึงนายกฯสัปดาห์หน้า
จากการที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.)ได้มีมติขอให้มหาวิทยาลัยเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียน แต่เมื่อมหาวิทยาลัยดำเนินการเลื่อนการเปิดปิดภาคเรียนตามมติ ทปอ.ไประยะหนึ่งแล้วเกิดปัญหา จึงขอให้ ทปอ. ทบทวนมติดังกล่าว แต่ ทปอ.ยังคงยืนยันมติเดิมมาโดยตลอด โดยให้เหตุผลว่า การเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียนมีผลดี ขณะเดียวกันได้มอบให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.)ทำวิจัย เรื่อง ผลกระทบจากการเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียน ซึ่งเบื้องต้นผลวิจัยปรากฏว่า คนอุดมศึกษาร้อยละ 86 ไม่เห็นด้วยกับการเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียน และร้อยละ 84 เห็นด้วยว่าควรกลับไปเปิดปิดภาคเรียนตามแบบเดิม นั้น
วันนี้(19 ส.ค.) ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) จัดประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับ “ผลกระทบจากการเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียนของสถาบันอุดมศึกษาไทย ต่อการดำเนินงานของหลักสูตรครุศาสตร์ หลักสูตรศึกษาศาสตร์ และหลักสูตรเกษตรศาสตร์” โดยมี รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ.กร จันทรวิโรจน์ ประธานที่ประชุมประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ปคมทร.) ผศ.ดร.รัฐกรณ์ คิดการ ประธานที่ประชุมประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการแห่งประเทศไทย (ทปสท.) รศ.ดร.ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย รศ.ดร.มนต์ชัย ดวงจินดา ประธานสภาคณบดีสาขาการเกษตรแห่งประเทศไทย เข้าร่วม
โดย รศ.ดร.ชัยวุฒิ ฉัตรอุทัย ประธาน ปอมท. กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ว่ามหาวิทยาลัยควรกลับไปเปิดปิดภาคเรียนแบบเดิม คือ เดือนมิถุนายนของทุกปี เนื่องจากการเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียนนั้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินงานการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการดำเนินงานของหลักสูตรครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ทั้งนี้การดำเนินการเรื่องดังกล่าวจะต้องให้กลับมาเปิดปิดภาคเรียนตามเดิม และต้องดำเนินการภายในปีการศึกษา 2562 เพื่อให้ทันกับการกำหนดปฏิทินการสอบในระบบคัดเลือกทีแคสให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้ เครือข่ายปอมท.จะนำข้อเสนอทั้งหมดยื่นต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายในสัปดาห์หน้า
ผศ.ดร.พัทธนันท์ หรรษาภิรมย์โชค รองเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของไทย หรือ CHES กล่าวว่า การเปิดปิดอาเซียนส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอน และนักศึกษาอย่างยิ่ง ซึ่งหากรัฐบาลต้องการให้ประเทศไทยก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ปฎิรูปการศึกษา สำเร็จ หากไม่ใส่ใจเรื่องการผลิตครูที่จะนำไปสู่ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนการสอนที่มีคุณภาพได้
รศ.ดร.ประพันธ์ศิริ กล่าวว่า การเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียนนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการจัดการศึกษาของคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และส่งผลต่อคุณภาพบัณฑิต ดังนี้ เวลาเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียนไม่สอดคล้องกับการเปิดปิดภาคเรียนของโรงเรียนและสถานศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รวมทั้งโรงเรียนสาธิต ซึ่งสถานศึกษาดังกล่าวเป็นแหล่งการเรียนรู้และเป็นสถานที่ฝึกประสบการณ์ วิชาชีพครูของนิสิต นักศึกษาครูทุกชั้นปี ซึ่งการฝึกประสบการณ์ วิชาชีพครู ถือเป็นส่วนสำคัญของหลักสูตรและเป็นมาตรฐานวิชาชีพครู โดยต้องไปปฏิบัติการสอน 1ปี ทำให้การจัดฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูทำได้ไม่เต็มที่ เพราะนิสิตนักศึกษาไม่มีสถานที่ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู อีกทั้งช่วงเวลาที่เปิดปิดไม่ตรงกันช่วงเวลาที่มหาวิทยาลัยเปิดเรียนเป็นช่วงที่โรงเรียนปิดภาคเรียน รวมเป็นเวลานานถึง 4 เดือนต่อปี
รศ.ดร.มนต์ชัย กล่าวว่า การเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียน ไม่มีความเหมาะสมกับสภาพอากาศของประเทศไทย ทำให้เกิดผลกระทบในการเรียนรู้ของนักศึกษาเกษตร โดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรน้ำจำนวนมากในการเรียนการสอนนักศึกษาพบปัญหาในการทำกิจกรรมการเรียนและฝึกปฏิบัติการแปลงเกษตร รวมถึงประสบปัญหาการเรียนการสอนด้านสัตว์น้ำ เนื่องจากไม่ใช่ช่วงเวลาวางไข่ของสัตว์ส่งผลให้นักศึกษา ไม่ได้เรียนรู้ ทำให้การศึกษากระพร่องกระแพร่ง ส่งต่อคุณภาพการฝึกสอนและคุณภาพของบัณฑิต อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มหาวิทยาลัยได้สร้างปัญหาให้แก่สังคมในหลายมิติ แทนที่มหาวิทยาลัยจะช่วยแก้ปัญหา
ผศ.ดร.รัฐกรณ์ กล่าวว่า การกำหนดนโยบายต้องให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตการปฏิบัติ หากไม่ตรงก็ควรมีการยกเลิก ซึ่งการเปิดปิดภาคเรียนตามอาเซียน ตอนนี้ไม่รู้ว่าจุดไหนคืออาเซียน เพราะ 10 ประเทศมีความแตกต่างกัน และอ้างความเป็นสากล มหาวิทยาลัยในโลกนี้ก็ไม่เปิด การจัดการศึกษาต้องขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต สภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศ แบบเดิมสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศและวิถีชีวิต ดังกล่าว ตอนนี้เมื่อเปลี่ยน เข้าสู่ปีที่ 4 มีปัญหาทุกปี ฉะนั้น อยากฝากไปยังรัฐบาล ไม่อยากไปทปอ.เพราะทปอ.ก็พูดว่าไม่ทบทวน เป็นอำนาจของแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งการเปิดปิดภาคเรียนเป็นอำนาจของมหาวิทยาลัย แต่การเป็นมหาวิทยาลัยเราอยู่กันเป็นองค์กร ที่ประชุมต่างๆ เมื่อมีมติทุกคนก็ปฏิบัติตาม ตอนนี้ติดอยู่ที่มติทปอ. ถ้าทปอ.ยืนยันไม่ยกเลิก ฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี มีปัญหาจำเป็นที่ต้องแก้ 6 ประเด็นสำคัญ คือ1.ทำอย่างไรให้ทุกสถาบันการศึกษา ควรเปิดปิดภาคเรียนตรงกัน 2. ปรับเปลี่ยนระบบถ้าอ้างอาเซียน ทำอย่างไรให้ 10 ประเทศอาเซียนตรงกันได้ 3.การเปิดการเรียนการสอนในเดือนเมษายน อากาศร้อน ทำอย่างไรให้ไม่เปิดเดือนเมษายน 4.การเกณฑ์ทหาร การสอบบรรจุครู ให้เกณฑ์ หรือสอบบรรจุครูให้ได้หลังสำเร็จการศึกษา5.สถานศึกษาต้องใช้งบประมาณ เพราะพอเกิดสิงหาคม เป็นปลายปีงบประมาณ เนื่องจากเปิดภาคเรียนแล้วไม่มีงบ 6.การประเมินอาจารย์ จะประเมินการสอน ซึ่งเมือ่ปรับเป็นสิงหาคมไม่สอดคล้องกับวงรอบการประเมิน ทำให้ตอนนี้เป็นกาดรำเนินการไม่ถูกต้อง ทั้งหมดเป้นปัญหา ผลกระทบต้องแก้ ซึ่งถ้าแก้ไม่ได้ ต้องกลับมาเหมือนเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะนี้มีมหาวิทยาลัยที่กลับไปเปิดภาคเรียนตามเดิมแล้วหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยราชัฏ(มรภ.)ธนบุรี มรภ.สุรินทร์ มรภ.ศรีสะเกษ มรภ.ร้อยเอ็ด และมหาวิทยาลัยแม่โจ้
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2560 เวลา 18.04 น.