สมาคมนักกำหนดอาหารเผย 80% คนไทยกินอาหารเกินความจำเป็นต่อร่างกาย แนะวิธีการดูแลป้องกันไม่ให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยการปรับพฤติกรรมการกินให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคุมอาหาร อย่าปล่อยให้อ้วน
ที่โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ภายใต้โครงการป้องกันและส่งเสริมคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดเวทีระดมทีมแพทย์ บุคลากร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานเวชศาสตร์ฉุกเฉินจากทั่วประเทศกว่า 100 คน จัดอบรมในแนวคิด “มีสุขภาพดี...คุมได้ แก้ไขได้ทัน...สรรค์ความช่วยเหลือ” ภายในงานได้มีการแบ่งกลุ่ม Workshop ฝึกปฏิบัติเพื่อสุขภาพที่ดีตามฐานต่างๆ
ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ครั้งที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากทุกคนให้ความสนใจร่วมระดมความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์เพื่อต่อยอดสู่ความชำนาญ และคาดหวังว่าเวทีครั้งที่ 2 นี้จะสามารถขยายแนวคิดถ่ายทอดเผยแพร่ให้ความรู้ และช่วยเป็นกระบอกเสียงขยายเครือข่ายตามพื้นที่ ชุมชน ท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งทางสมาคมจะมีผู้ที่เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาร่วมถ่ายทอดความรู้ ฝึกคนให้เป็นครู เพื่อนำไปสู่การป้องกันไม่ให้คนไทยเจ็บป่วยฉุกเฉิน และยังสามารถดูแลความปลอดภัยในชีวิตของตนเองและคนใกล้ชิดได้
นอกจากนี้ ในเวทีจะมีการเปิดรับฟังความเห็นและคำแนะนำเพื่อการปรับปรุงสื่อต่างๆ ที่ทางโครงการได้จัดเตรียมให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักป้องกันตนเองไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สำหรับแนวคิดของโครงการนี้จะประกอบด้วย 4 กรอบหลัก คือ 1.การทำให้มีสุขภาพดี 2.หากมีโรคประจำตัว หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินใด ผู้ป่วยหรือญาติสามารถดูแลและควบคุมโรคประจำตัว หรือการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3.หากมีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินรุนแรง ผู้ป่วยหรือญาติควรทราบวิธี ช่องทางในการสอบถาม วิธีการแก้ไขเบื้องต้น หรือติดต่อขอรับบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 4.การเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ให้พร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีการเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้อย่างเหมาะสมเมื่อพบผู้ประสบเหตุ
ศ.นพ.พินิจ กุลละวณิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า 70% ของประชากรโลกที่เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนี้เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ละเลยการออกกำลังกาย สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 56 พบว่าสาเหตุการตายของคนไทย 3 อันดับแรกคือ มะเร็ง อุบัติเหตุ โรคหัวใจและหลอดเลือด ตามลำดับ
รศ.นพ.พินิจกล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้ประชาชนไม่เสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและเจ็บป่วยฉุกเฉินคือ การออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก รวมทั้งดัชนีมวลกายให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารเสพติด มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย มีการป้องกันที่ถูกต้อง นอกจากจะลดการติดโรคที่มาจากเพศสัมพันธ์แล้ว ยังเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้อีก รวมทั้งมีตรวจร่างกายตามวัย ตามเพศ ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเหมาะสม
“สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงคือ คนไทยมีการกินอาหารที่มากเกินความจำเป็นต่อร่างกาย ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะอ้วนมากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่อ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน เสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ มากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ” รศ.นพ.พินิจกล่าว
ด้านอาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช ประธานฝ่ายวิชาการสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาการกินอาหารของคนไทยส่วนมากมุ่งเน้นไปที่รสชาติและหน้าตาของอาหารมากกว่าจะคำนึงถึงคุณค่าสารอาหาร นอกจากนี้ยังมีการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล โซเดียม แป้ง ไขมัน แฝงเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้ได้รับแคลอรีเกิน สำหรับตัวอย่างของหวานและเครื่องดื่มที่มีแคลอรีเกินความจำเป็นที่เห็นกันอยู่เสมอ เช่น ชานมไข่มุก กาแฟเย็นรสต่างๆ เบเกอรี่ ขนมหวาน
“จากประสบการณ์ที่ดูแลผู้ป่วย พบว่ามีประชาชนเพียง 20% โดยประมาณที่บริโภคอาหารถูกต้อง ส่วนที่เหลือ 80% เป็นการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ได้รับสารอาหารไม่สมดุลต่อร่างกาย เช่น บางคนไม่กินผักหรือผลไม้ บางคนกินแป้ง ไขมัน โซเดียมมากเกินควร ส่งผลให้ได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วน เมตาโบลิกซินโดรม และกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง"
อาจารย์ศัลยากล่าวอีกว่า ส่วนวิธีการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างง่ายๆ ในการป้องกันโรคคือ ลดความหวาน มัน เค็ม รับประทานผักที่หลากหลายสี ผลไม้ที่หลากหลายชนิดตามฤดูกาล วันละ 2 ชนิด ในปริมาณพอสมควร ข้าว แป้ง โปรตีนหรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อย่างละ 1/4 ของมื้ออาหารที่รับประทาน ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ วันละ 1-2 ครั้ง ก็จะได้รับสารอาหารครบทุกหมู่ และได้รับสารอาหารสมดุล.
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก ไทยโพสต์ วันที่ 8 สิงหาคม 2560