คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ จัดเสวนา ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูสอบครูได้ “สมพงษ์”จี้คุรุสภาพิจารณาตัวเอง ขณะที่“อมรวิชช์”ย้ำไม่ปิดกั้นทุกคนเป็นครู แต่ควรกลับไปดูอดีตสมัยรัฐบาลทักษิณเคยทำแล้วปัญหาเพียบ แนะรัฐหาทีมการศึกษาดีๆมาดูการศึกษา
วันนี้( 23 มี.ค.)ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีเสวนาเรื่อง "มุมมองเชิงวิชาการต่อการเปิดโอกาสให้ผู้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูสอบบรรจุครูได้"โดย ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ปรารภอยากให้มีการฟื้นกรมการฝึกหัดครู ตนก็ดีใจและเห็นว่า นายกฯเห็นความสำคัญของครู แต่จากนั้นไม่นานก็มีการยุบคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์การคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นครู โดยให้ใครก็ได้มาเป็นครู และเรียนเพียง 4 ปี ขณะที่หลักสูตรคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ต้องเรียน 5 ปี มีการบ่มเพาะทั้งต้นทุนวิชาชีพ ปรัชญาองค์ความรู้และจรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งเป็นการขัดแย้งกัน ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าการศึกษาทุกระดับเวลานี้อยู่ในขั้นไอซียูและวิกฤติเชิงคุณภาพทั้งประเทศ ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษาจึงเหมือนไฟลนก้นพยายามทำทุกวิถีทางให้คุณภาพดีขึ้น โดยมุ่งไปที่การติวการเรียนทุกอย่าง เพื่อให้คะแนนการวัดผลทั้งในและต่างประเทศดีขึ้น แต่สุดท้ายคะแนนเด็กก็ยังตกเหมือนเดิม ตนเห็นว่าการติวไม่ใช่วิธีการทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น แต่คุณภาพการการศึกษาจะดีขึ้นได้อยู่ที่กระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ที่จะต้องทำให้เด็กสามารถเผชิญและแก้ปัญหาต่างๆได้
“การเปิดให้ทุกหลักสูตรมาสอบครูได้ เป็นการก้าวผิดพลาดที่จะนำคนที่มีความรู้ในเนื้อหาไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ มาสอนหนังสือ ซึ่งคนเหล่านี้แม้ว่าจะเก่ง แต่ไม่รู้วิธีการสอน ไม่รู้วิธีการจัดการเด็กหลังห้อง ไม่มีเสน่ห์ เป็นพวกสากกระเบือ อีกทั้งเรื่องนี้ยังสะท้อนถึงว่า เราวินิจฉัยโรคถูก แต่ให้ยาผิด ขณะนี้ใบประกอบวิชาชีพครูก็ถูกย่ำยี ซึ่งถ้าเป็นวิชาชาชีพอื่นหากเกิดปัญหาเช่นนี้ก็จะลุกขึ้นต่อสู้ ดังนั้นคุรุสภาต้องพิจารณาตนเอง อย่างไรก็ตามถ้าคนวิชาชีพครูไม่สู้ จะเป็นจุดด่างให้วิชาชีพอื่นเข้ามาแย่งงานวิชาชีพครูได้” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การเป็นครูสมัยนี้ยากขึ้น เพราะจะต้องมีองค์ความรู้ ทักษะ และต้องรู้กระบวนการหล่อหลอมให้ผู้เรียนผูกพันกับการเรียน ซึ่งคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ก็พยายามพัฒนาหลักสูตร และต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า เรากำลังพัฒนาหลักสูตรครูให้มีคุณภาพและทันสมัยขึ้น เรื่องการให้วิชาชีพอื่นมาเป็นครูนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีการเปิดโอกาสให้คนเก่งมาเป็นครูในสมัยรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมี ดร.อดิศัย โพธารามิก เป็นรมว.ศึกษาธิการ แต่ก็เกิดปัญหาคนเก่งจริง แต่สอนไม่ได้ สุดท้ายบางคนต้องย้ายไปทำหน้าที่เป็นศึกษานิเทศก์ ตนไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทำผิดซ้ำ ไม่นำบทเรียนที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์ก่อนออกเป็นนโยบาย ซึ่งนโยบายที่ออกมาเวลานี้เป็นการตัดสินใจอย่างเร่งด่วน โดยผู้มีอำนาจ ขาดความรู้ ขาดการมีส่วนร่วม เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด แต่เป็นการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่ขึ้นตามมา ซึ่งที่ผ่านมาเราพยายามแก้ปัญหาโดยการดึงคนเก่งมาเป็นครูมีการบ่มเพาะถึง 5 ปี แต่เวลานี้กลับเอาใครก็ได้ซึ่งเรียน 4 ปีมาเป็นครู เชื่อว่าในอนาคตจะทำให้คนเก่งไม่มาเรียนครูอีก
“ฝากรัฐบาลควรที่จะหาทีมการศึกษาดี ๆ มาดูแลการศึกษาซึ่งเป็นอนาคตชาติ ไม่ใช่เอาใครก็ได้มาเป็นครู หรือเอาใครก็ได้มาดูแลการศึกษาของประเทศ ซึ่งดูเหมือนการขายขนมหรือต่อรองกันไปมา รัฐบาลนี้เปลี่ยน รมว.ศึกษาธิการมา 3 คนแล้ว เกิดปัญหาความไม่ต่อเนื่องเชิงนโยบาย เป็นระบบอำนาจโดยปริยายที่ว่า คนนั้นชอบอะไรก็ทำอันนั้น อย่างไรก็ตามนโยบายที่กระทบต่อคนทั้งประเทศกระทบอนาคตเด็กนั้น ไม่ใช่จะมาเปลี่ยนไปมาตามตัวบุคคล อย่างไรก็ตามเราต้องสู้ด้วยเหตุผล ย้ำไม่ได้ปิดกั้นว่าใครจะมาเป็นครู แต่ขอร้องเมื่อสอบผ่านการคัดเลือกเป็นครูแล้ว ไม่ควรให้บรรจุอัตราเลย แต่ต้องให้ได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูก่อน เพราะไม่มีประเทศไหนทำกันที่บรรจุอัตราก่อนได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู”ดร.อมรวิชช์ กล่าว
ด้าน ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ชาวครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ไม่ได้ใจแคบ หรือ กลัวว่าจะมีคนมาแย่งงาน และตนมั่นใจว่านิสิตนักศึกษาครูสามารถสอบแข่งขันได้แน่นอน แต่อยากย้ำว่าการผลิตบัณฑิตครูเราต้องคิดบนพื้นฐานของการตรียมคน เพื่อออกไปสู่ห้องเรียน ใช้เวลาในการสอน เรียนรู้ 4ปี เพื่อฝึกประสบการณ์สอนจริง อีก 1 ปีมีการติดตามประเมินผล เพราะฉะนั้น ความสำคัญของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจึงไม่ใช่แค่ตราประทับ แต่เป็นการการันตีประสบการณ์ที่ฝึกฝนมาในภาคสนาม
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560 เวลา 15.02 น.