การฝึกพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง และได้ผลนั้น มีหลากหลายวิธี และนี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สมาชิกเว็บไซต์ pantip.com (สมาชิกหมายเลข 846817) ได้แชร์ประสบการณ์หัดพูด อังกฤษ ฉบับ Advance ได้ผลจริง ซึ่งมีผู้สนใจติดตามและกลายเป็นกระทู้ Pantip Trend ในเว็บ pantip.com โดยในโพสต์ดังกล่าว ได้แนะนำเทคนิคในการฝึกพูดภาษาอังกฤษ ดังนี้ครับ
แชร์ประสบการณหัดพูด อังกฤษ ฉบับ Advance ได้ผลจริง
สมาชิกหมายเลข 846817
สวัสดีครับทุกคน
เมื่อปีที่แล้วผมได้แชร์ประสบการณ์ในการหัดพูดภาษาอังกฤษ แบบระยะเริ่มแรก ในคราวนี้ผมจะแบ่งปันประสบการณ์ในการฝึก และเทรนตัวเองฉบับ Advance ประสบการณ์อืนๆ ของปีที่แล้วสามารถเข้าไปหาได้ post ที่ผมเคยเขียนหรือ แชร์ไว้ได้เลยนะครับ วิธ๊ที่ผมทำต่อไปนี้คือผมฝึกเองในขณะที่อยู่ประเทศไทยทั้งหมด ผมไม่เคยไปแลกเปลี่ยน เรียน อยู่ โรงเรียนไทยมาตลอด เริ่มหัดตั้งแต่ ม 4 พอจบ ป ตรี รู้สึกว่าตัวเองพูดได้แล้ว จึงไปลองใช้ภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ ตอนไปเรียนต่อ ปริญญาโท
เคยมีคนพูดว่า ผมได้ไปเรียนเมืองนอก ผมก็ย่อมจะต้องได้ภาษาอังกฤษแน่นอน แต่ในความเป็นจริงผมพุดอังกฤษได้ตั้งแต่ก่อนไปหน่ะครับ หลักสูตรปริญญาโท ที่ผมเรียนนั้น มีระยะเวลาแค่ 10 เดือน เท่านั้น และแถมไปตอนอายุ 27 เกือบๆ จะ 30 แล้วครับ ถึงผมจะไม่ไปเรียนต่อ ผมก็ยังพุดภาษาอังกฤษได้เหมือนเดิม ผมก็เลย อยากจะแชร์เทคนิคและวิธี การเรียนภาษาอังกฤษแบบ Advance ในกระทู้นี้
ส่วนคลิปนี้เป็นคลิปผม แนะนำการเรียนพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเองครับ
https://www.youtube.com/watch?v=JBmYuxRrFeU
ที่นี่ การฝึกแบบ Advance นั้น เอาตามที่ผมทำเลยแล้วกันนะครับ
1 สำหรับคนที่อยากพุดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ที่มีการกล่าวถึงเรื่องราวในชีวิต ไม่ใช่แค่ตื่น นอน แปรงฟัน กินข้าว กลับบ้านนอน อยากพูดอังกฤษ แบบเม้ากับเพื่อน นินทา เจ้านาย บ่นรถติด สภาพอากาศอันร้อนระอุของ ประเทศไทย ฯลฯ ให้ไปหานิยายที่ใกล้เคียงกับชีวิตเรามากที่สุด ครับ ไปเดินหาตามร้านหนังสือภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น Kinokuniya หรือ Asia Book แล้วถามพนักงานเลยครับว่าอยากได้แนวไหน เดี๋ยวเขาจะแนะนำให้เราเองครับ ที่นี้พอหาได้มา 1 เล่ม นะครับ ลองเปิดอ่านแบบผ่านๆ ดูว่าภาษายากไปไหม ถ้ายากไป วางมันลงเลยครับไม่ต้องไปอ่าน ถ้านิยายยากไป ให้ไปหาหนังสือแนวอ่านนอกเวลามาอ่านแทน ได้ครับ เลือกนิยายที่มีตัวละครอายุ ไล่เลี่ยกับเรา เลือกมาสักเล่มครับ
จากนั้นลงมือ อ่านทีละบท ถ้ามันยากไป อ่านทีละหน้าครับ จากนั้น ย่อ ออกมาใส่สมุดเปล่าเลยครับ อ่านจับใจความก่อนอันดับแรก จากนั้น แปลให้ออกทั้งหมด อ่านจนเข้าใจทุกตัวอักษร ว่าเรื่องราวที่อ่านนั้นเกี่ยวกับอะไร จนถ่องแท้ แล้ว ย่อมันออกมาเลยครับ เหมือนเรียนย่อความตอนเรียนภาษาไทยตอนประถม หลักการเดียวกันเลยครับ -- ทำไปจนกว่าจะอ่านหมดเล่มครับ หรือ ถ้าไม่จบก็ไม่เป็นไร แต่ผมเชื่อว่า หากเพื่อนๆ ลองทำดูได้มากสุดสัก 1 chapter ภาษาจะก้าวกระโดด อย่างรวดเร็วเลยครับ---- ลองดูสิครับ
ส่วนใครจะชอบเรื่องอะไรเป็นพิเศษก็ให้ไปหาหนังสือความชอบของตัวเองมาอ่าน นะครับ ไม่ว่าจะเป็น ข่าวสารบ้านเมือง แต่งรถ แต่งบ้าน ทำอาหาร กีฬา ฯลฯ แล้วทำอย่างเดียวกันนะครับ
ก่อนจะไปข้อที่ 2 เรื่องการดู Youtube นั้น ในเรื่องของการอ่านหนังสือเพื่อให้ได้ประโยคพูดนั้น จริงๆมันดูเหมือนง่ายนะครับ เพราะเวลาเราอ่านเรา มักจะคิดว่า ภาษามันก็ไม่ได้ยากนินา (สำหรับคนที่ซื้อนิยาย แบบแปลงและย่อเนื้อหาให้ นักเรียนระดับมัธยม หรือประถมก็แล้วแต่ประเภทนะครับ) เปิดพจนานุกรม เอาแปลๆ ก็ง่าย ลองปิดหน้าที่อ่าน เอามือปิดก็ได้นะครับ แล้วเล่า หน้าที่อ่านออกมาเป็นภาษาอังกฤษดูนะครับ ความ advance มันจะเริ่มตรงนี้
เราใช้ภาษาอังกฤษกันส่วนมาก แบบ 2 มิติ คือแค่ ถาม ตอบ แต่พอเวลาจะให้ "บรรยาย" สถานการณ์ จะพูดกันติดๆขัดๆ เสียส่วนใหญ่ เพราะโครงสร้างประโยคมันจะเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น รูปแบบการเล่าก็ขึ้นอยู่กับการเวลา และบริบทของเรื่องราวที่เล่า ณ จุดนี้ผมบอกได้เลยว่า หนังสือนิยาย กับ script หนัง จาก www.simplyscripts.com ช่วยได้มาก ทำให้คนที่กำลังฝึกพูด มีความเข้าใจการใช้ภาษาจากบริบทได้มากกว่า สำหรับใครที่อยากจะพูดให้สวยขึ้น ประโยคซับซ้อนมากขึ้น วิธีนี้ช่วยได้มากเลยทีเดียว ที่สำคัญอย่าแค่อ่านจับใจความนะครับ เราไม่ได้อ่านไปสอบ แต่เราอ่านเพื่อไป ถ่ายถอด 'ผ่านการพูด' เราไม่มีโจทย์ ไม่มี ตัวเลือก ให้เลือกตอบ เหมือนในหนังสือ หรือ แบบฝึกหัดซึ่งมีตัวช่วยมากมาย แต่เวลาเราจะอ้าปากพูด มันไม่มีตัวช่วยหน่ะครับ เราต้องเทรนตัวเอง เพื่อให้ทักษะการพูดมันพัฒนาและดีขึ้นไป
2 การดู Youtube video
ผมดูแบบใจจดใจจ่อเลยครับ ไม่ได้ดูเพลิน ผ่านๆ อย่างเดียวนะครับ ผมดูเลยว่า vlogger แต่ละคนที่ผมดูนั้น เข้าพูดยังไง ใช้คำอะไรพูดกัน เวลาดู Youtube เราดูจากบริบท เราจะสามารถซึมซับภาษาได้เร็วกว่า ลองเลือก หา Youtube ที่คนพูดแล้วไม่เร็วมาฟังนะครับ ผมฟัง คลิปเดิมมากกว่า 5 รอบ ฟังจนแทยจะพูดได้เหมือนเจ้าของวิดีโอแล้วครับ เหมือนกับเราดูละคร ซ้ำๆ คำพูดมันก็เดิม ฟังบ่อยๆ เราก็จำได้ พูดได้เหมือนตัวละครเด้ะ ลองไปหาดูแล้วมาลองฟังนะครับ ใครมีคำถามอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวผมแนะนำต่อให้
3 การออกเสียง
ขอพูดเรื่องการฝึกสำเนียงเลยแล้วกันนะครับ เนื่องจาก คนเรียนพูดภาษาอังกฤษก็มักอยากจะมี สำเนียงฝรั่งกันทั้งนั้น ก่อนสำเนียงจะมา ให้ focus ไปที่การออกเสียงให้ชัดก่อนครับ เวลาพูดแต่ละประโยคให้พูดช้าๆ ชัดๆทุกครับ ไม่ต้องรีบ ทัศนคติที่ว่าการพูดรัวๆ เร็ว แล้วมันเท่ห์ นั้น ผิดครับ ไม่เท่ห์ครับและแถมยัง จะพูดมั่วได้อีกด้วย จากที่ผมเคยได้กล่าวไปแล้วนั้น ใครจะฝึกสำเนียงให้หา program pronunciation มาใช้ มีขายตามร้านหนังสือภาษาอังกฤษทั่วไปนะครับ แผ่น DVD มาพร้อมกับตัว หนังสือ Dictionary อย่าไปหาโหลดฟรีเลยครับ คนทำเขาคงต้องพยายามขนาดไหนเพื่อให้เราได้มี program ดีๆใช้
เปิดหนังสือนิยายที่ซื้อมานะครับ แล้วอ่านออกเสียง คำไหนไม่แน่ใจให้ เปิด program นี้ทันที ห้ามเดานะครับ เพราะภาษาอังกฤษ จะเน้นแต่ละพยางค์แตกต่างกันไป ลองดูนะครับ เดี๋ยวจะมาแชร์ความลำบากในการหัดพูด......
4 ความลำบากในตอนต้น
พอเริ่มหัดพูด ก็พยายามพูดไปทั่วครับ พอมีนักเรียน แลกเปลี่ยน มา รร ตอนนั้นอยู่ ม ปลาย ก็พยายามพุดกับเขา พูดผิดๆ ถูก ก็ต้องพูด คิดอย่างเดียวว่า อยากพูด ต้องได้พุด ก็มั่วบ้าง ถูกบ้างผิด บ้าง แต่ดีที่ไม่มีใครมาวิจารณ์ผม ตอนนั้นก็จะอ่าน นู่นอ่านเป็นภาษาอังกฤษหมด คือจะไม่ บู่มบ่ามจะพูด ออกมาอย่างเดียว โดยที่ไม่รู้รูปประโยคหรือ คำศัพท์ใหม่ แล้วรอให้ ฝรั่งแก้ให้ เขาไม่แก้หรอกครับ เขาแค่เข้าใจเราก็พอ ตอนนั้น มีเพือนเรียน รร นานาชาติ เลยเริ่มสังเกต การใช้ภาษาของเพื่อน เพื่อนเรียนทุกอย่างเป็น ภาษาอังกฤษหมด เราเลยเอาบ้าง หา textbook มาอ่าน ก็นั่งอ่านเปิดพจนานุกรม สมัยนั้นก็ talking dictionary ถ่านหมดแล้วหมดอีก ผมอ่านเยอะมาก Bangkok Post ก็อ่าน เบื่อก็วาง หายเบื่อก็เอามาอ่านใหม่ ตอนนั้นก็ Print สคริปหนัง มาอ่านครับ อ่านเป็นวรรคเป็น เวรเลยทีเดียว ออกเสียงทั้งคืน จนคนที่บ้านรำคาญ เพื่อนสมัยตอน ม 6 จู่ๆ ก็ถามว่าอยากไป โบสถ์คริสไหม มีฝรั่งเต็มเลย เราก็เอาว่ะ ไปก็ได้ ไปลองพูด ปรากฎ ฝรั่งรุ่นราวคราวเดียวกับผมเต็มเลยครับ ผมพูดไม่ค่อยเยอะ เพราะยังไม่ได้คล่องปร๋อ ถึงขนาดที่คิดอะไร ก็พูดเป็นภาษาอังกฤษได้เลย ตอนนั้นจำบทในหนังได้ ก็ลอกๆ ประโยคมาพูดบ้าง ด้วยความที่ผมพูดแต่สิ่งที่ผมเข้าใจ และก็จะปิดปาก เวลาฟังอะไรไม่ออก ฝรั่งในกรุ้ป ก็จะไม่ได้คิดว่าผมมีปัญหาในการสื่อสารอะไร ผมก็เนียนๆไป เลียนแบบคำพูด ของเพื่อนฝรั่งใน กรุ้ป ที่โบสถ์นั่นแหละครับ ไม่มีใครสงสัยว่าผม เรียน รร ไทย ก็เนียนๆไป แต่ถ้าใครชวนคุยยาวๆ ก็จะรู้ว่าผมพูดไม่ได้ตลอดเวลา จะติดๆ ขัดๆ แต่ผม ก็ไม่ "อาย" เลย ผมเฉยๆ ไม่ได้คือ ไม่ต้องอาย ภาษาคือเครื่องมือ ถ้าไม่ใช้มัน ไม่ลองพลาดดูแล้วเมื่อไหร่เราจะเก่ง ผมก็คิดแค่นั้น จนมาเจอ กับเพื่อน ที่เป็นลุกครึ่งไทย อเมริกัน ผมก็คุยไทย ปนอังกฤษ เพราะเขารู้ผมพูดไม่คล่อง แต่ที่ชอบคือ เขาพูดอังกฤษกับผมตลอด 55 เลยเป็นข้อดีไป
ประวัติของเพื่อนคนนี้น่าสนใจ นะครับ ไว้จะมาเล่าต่อ