"ดาว์พงษ์" ส่งหนังสือถึง ศอตช.ช่วยเป็นเจ้าภาพหลักสางทุจริต สกสค. เผยมติบอร์ด สกสค.ให้ขายหุ้นคืน "หนองคายน่าอยู่"ภายใน 5 ปี
วันนี้ (17 พ.ย) พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคคลกรทางการศึกษา (สกสค.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าการแก้ปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในสกสค. โดยตนได้ลงนามหนังสือถึงศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เพื่อขอให้เป็นเจ้าภาพหลักในการประสานและติดตามผลการดำเนินคดีกรณี สกสค.ซื้อตั๋วสัญญากับบริษัท บิลเลียน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท รวมถึงจะประสานไปยังกระทรวงยุติธรรม ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบมีความรวดเร็ว นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขายหุ้นคืนให้แก่บริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด ซึ่งกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ฌาปณกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ได้ซื้อในราคาหุ้นละ 25 บาท รวม 800 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชนบ้านป่าตอง ต.โพนสว่าง อ.เมือง จ.หนองคาย เนื่องจากได้มีการตรวจแล้วพบว่า บริษัทดังกล่าวมีการดำเนินการจริง โดยมีเงื่อนไขให้ซื้อคืนภายในระยะเวลา 5 ปี แต่ละปีต้องซื้อคืนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่เหลืออยู่ และต้องจ่ายค่าตอบแทนคืนให้กับ สกสค.ในอัตราร้อยละ 5 ของจำนวนเงินที่เหลือจากการจ่ายคืนในแต่ละงวด
“ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบตั้งกรรมการสอบสวนบุคลากรและผู้บริหาร สกสค.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตทั้งกรณีของบริษัท บิลเลี่ยนฯ และ บริษัท หนองคายน่าอยู่ ซึ่งที่ผ่านมามีผู้เกี่ยวข้องบางส่วนถูกพักงานไปแล้ว และหากพบว่ามีใครที่เกี่ยวข้องอีก ก็จะให้พักงานเพิ่มเป็นราย ๆ ไป ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับ สกสค. และดำเนินการสอบสวนต่อไป โดยให้ ดร.พิษณุ ตุลสุข รองปลัด ศธ.ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ประสานขอข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีของบริษัท หนองคายน่าอยู่ แม้จะมีการตรวจสอบแล้ว พบว่า บริษัทมีการดำเนินการจริง แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับการซื้อหุ้นในราคาที่สูง ต้องดูว่า ใครมีส่วนได้ส่วนเสียบ้าง“ พล.อ.ดาว์พงษ์กล่าวและว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังหารือถึงข้อเสนอที่ให้มีการแยกการบริหารงานองค์การค้าของ สกสค. ออกจาก สกสค. ซึ่งตนมีความเห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้เวลาในการดำเนินการ ดังนั้นจึงให้ปรับปรุงระเบียบและข้อบังคับการสรรหาและอำนาจหน้าที่ของเลขาธิการ สกสค. และ ผู้อำนวยการองค์การค้าฯ ให้เหมาะสม จากที่ไม่มีการคานอำนาจ และสามารถอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านมติของที่บอร์ด สกสค.
ขอบคุณที่มาจาก เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559