เชื่อมี “แอลดี” ซุกทุกโรง แนะหาช่องจ่ายท็อปอัพไร้ใบแพทย์-ห้ามยัดไส้
พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการที่ตนพร้อมด้วยผู้บริหาร 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ลงพื้นที่สุ่มตรวจติดตามงานตามนโยบายของ ศธ.ในโรงเรียนบ้านหมากแข้งและโรงเรียนบ้านหนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้เน้นย้ำให้ดูแลเด็กพิเศษ เพราะเชื่อว่าในทุกโรงเรียนต้องมีเด็กพิเศษซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ หรือเด็กแอลดี แต่ผู้บริหารสถานศึกษาอาจไม่รู้ เนื่องจากพ่อ แม่ ผู้ปกครองมักจะไม่ยอมรับจึงไม่แจ้งกับทางโรงเรียน ซึ่งตนเชื่อว่าเด็กเหล่านี้ถ้าโรงเรียนเข้าใจก็สามารถพัฒนาได้ แต่หากปล่อยให้เรียนร่วมโดยที่ไม่รู้จะเป็นปัญหากับเด็ก จึงได้สั่งการให้โรงเรียนต้องมีการคัดกรองเด็ก อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาปัญหาการคัดกรองเด็กอยู่ที่แบบคัดกรอง ซึ่งค่อนข้างโบราณ และมีหลายแบบ ดังนั้นจึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปจัดทำแบบการคัดกรองเด็กที่ง่ายต่อการคัดกรอง รวมทั้งวางระบบในการคัดกรอง เริ่มตั้งแต่ครูประจำชั้นต้องจำแนกเด็กได้ว่า เด็กคนไหนเรียนช้า เรียนเร็ว นอกจากนี้หัวหน้าระดับชั้น หัวหน้ากลุ่มสาระวิชา และผู้บริหารสถานศึกษาต้องรู้เพื่อให้การสนับสนุนครู
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ให้ไปดูเรื่องของกติกาการให้เงินอุดหนุนเพิ่มพิเศษ หรือเงินท็อปอัพ ซึ่งที่ผ่านมาต้องมีใบรับรองแพทย์ แต่มีปัญหาว่าผู้ปกครองไม่ยอมรับสิ่งที่ลูกเป็นและไม่พาไปหาแพทย์ เด็กจึงไม่มีใบรับรองแพทย์ และเด็กบางคนก็อาจมีปัญหาที่ต้องจัดการเรียนการสอนให้เป็นพิเศษแต่ไม่ถึงขั้นเป็นแอลดี จึงให้ สพฐ.ไปดูว่าทำอย่างไรจึงจะให้เงินท็อปอัพได้โดยไม่มีการยัดไส้ ทั้งนี้หาก ศธ.กำลังพิจารณาปรับเพิ่มเงินท็อปอัพให้กับครูผู้สอนและสถานศึกษาที่จัดการเรียนร่วม รวมถึงสื่อการเรียนการสอนที่สอดคล้องให้กับเด็กพิเศษเหล่านี้
ด้าน ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า จากข้อมูลปีการศึกษา 2559 มีนักเรียนพิการและมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เรียนร่วมในโรงเรียนปกติของ สพฐ. 216,719 คน เชื่อว่าเมื่อมีการคัดกรองอย่างเป็นระบบตัวเลขจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานศึกษาคัดกรองในเบื้องต้นแล้ว จะ ประสานแพทย์คัดกรองอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อจัดสถานที่เรียนให้ตามความเหมาะสมต่อไป.
ขอบคุณที่มาจาก ไทยรัฐ 14 พ.ย. 2559