Advertisement
ทำเนียบรัฐบาล - พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งคณะรัฐมนตรี ร่วมงาน "นายกรัฐมนตรีพบปะสื่อมวลชน" เนื่องในโอกาสแถลงผลงาน 2 ปีของรัฐบาล เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน 2559 ณ ตึกสันติไมตรี โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวแถลงผลงานรัฐบาล รวมทั้งรองนายกรัฐมนตรีทุกท่านร่วมชี้แจงผลการดำเนินงานในกลุ่มงานที่รับผิดชอบ
นายกรัฐมนตรี กล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า การบริหารงานของรัฐบาลในช่วงปีที่ 2 ที่ผ่านมา เป็นการขับเคลื่อนงานต่อจากปีแรก ซึ่งต้องเผชิญกับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยรัฐบาลพยายามหาทางแก้ไขปัญหาและบริหารงานตามหลักการบูรณาการ พร้อมกำหนดมาตรการในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งถือได้ว่าที่ผ่านมา มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ระยะต่อจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมแผนงานเพื่อเดินตาม Roadmap ระยะที่ 2 ที่จะเป็นช่วงของการปฏิรูป จึงขอให้คนไทยปรับตัวและรู้เท่าทันสถานการณ์โลก พร้อมขอให้ประชาชนช่วยกันคิดช่วยกันทำเพื่ออนาคต 20 ปีข้างหน้า เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ทั้ง 6 ท่าน ได้ร่วมแถลงผลงานตามลำดับกลุ่มที่รับผิดชอบ ซึ่งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลงานของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้แถลงผลงานด้านการศึกษารอบ 2 ปี ซึ่งได้ขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาใน 6 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) การปฏิรูปหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ มีโครงการสำคัญคือ
-
โครงการนักเรียน ป.1 อ่านออกเขียนได้ใน 1 ปี ซึ่งในปี 2559 สามารถดำเนินการปรับลดจำนวนนักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จาก 11.60% เหลือ 3.94% และจะทำให้เหลือ 0% ในปี 2560
-
โครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ในปี 2558 ได้ดำเนินการในโรงเรียนนำร่องจำนวน 4,100 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งพบว่านักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ มีค่าเฉลี่ยผลการทดสอบในภาพรวมสูงขึ้น ในส่วนปี 2559 จะมีการขยายผลอีก 19,997 แห่ง และขยายผลให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนในปี 2560
-
การบูรณาการการสอนและการเรียนรู้ โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM Education) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดเชิงบวก ซึ่งในปี 2559 ได้ดำเนินการในโรงเรียน 2,495 แห่ง และจะขยายผลให้ครบทุกโรงเรียนให้แล้วเสร็จภายในปี 2564
-
การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ได้มีการปรับหลักสูตรการเรียนรู้ ซึ่งเดิมใช้เวลาเรียนภาษาอังกฤษเพียง 1 คาบ/สัปดาห์ ขณะนี้ได้ขยายเวลาเรียนเป็น 5 คาบ/สัปดาห์ โดยเน้นภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และจัดทำแอพพลิเคชันกว่า 260 เรื่องบรรจุลงในสมาร์ทโฟน ทำให้สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา
-
โรงเรียนประชารัฐ ภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐ-เอกชน-ประชาสังคม 69 หน่วยงาน โดยมีเป้าหมายพัฒนาโรงเรียนประชารัฐ 7,424 แห่ง โดยในระยะแรกดำเนินการแล้ว 3,312 แห่ง ส่วนโรงเรียนที่เหลือจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2560
2) การผลิตและพัฒนาครู มีโครงการสำคัญคือ
-
การปรับเกณฑ์อัตรากำลัง ให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
-
การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มุ่งเน้นจัดการโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 20 คนลงมา จำนวน 827 แห่ง เพื่อให้เด็กได้เรียนรวมกันในโรงเรียนที่ดีและอยู่ใกล้บ้าน ภายใต้ชื่อโครงการ “โรงเรียนดีใกล้บ้าน” โดยปี 2559 มีแผนจะดำเนินการในโรงเรียน 421 แห่ง และปี 2560 ในโรงเรียนอีก 406 แห่ง
-
การเกลี่ยอัตรากำลังครู จำนวน 68,000 อัตรา จะดำเนินการเกลี่ยครูจากโรงเรียนที่เกินไปให้โรงเรียนที่ขาดให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2559
-
การจัดทำแผนอัตรากำลัง 10 ปี เพื่อทดแทนอัตราครูที่เกษียณอายุราชการ
-
โครงการครูผู้ทรงคุณค่าแห่งแผ่นดิน โดยสรรหาครูเกษียณอายุราชการแล้ว ที่เป็นครูเก่ง มาปฏิบัติการสอนในสาขาวิชาที่ขาดแคลนในโรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วในปี 2559 จำนวน 1,097 อัตรา และปี 2560 จำนวน 5,400 อัตรา
-
โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนครูในสาขาวิชาเฉพาะและดึงคนเก่งมาเป็นครู โดยในปี 2559 มีแผนที่จะบรรจุให้เป็นข้าราชการครู 4,079 อัตรา และในอีก 10 ปีข้างหน้า (ปี 2569) จะมีดึงนักศึกษาที่เก่งให้มาเป็นครูไม่น้อยกว่า 44,200 อัตรา
-
การพัฒนาครูแกนนำด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp English) เพื่อเตรียมความพร้อมในการสร้างครูวิทยากร โดยการพัฒนาความรู้ สร้างทักษะ และเทคนิคการสอน เพื่อนำไปเผยแพร่และขยายผลให้กับครูอื่นในสังกัด ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาแล้วในช่วงแรก 6,000 คน ช่วงที่สอง 7,500 คน ทำให้ภายในปี 2561 มีครูภาษาอังกฤษที่ผ่านการอบรม 13,500 คน
-
ปรับระบบการอบรมและพัฒนาครู ซึ่งเดิมดำเนินการโดยส่วนกลาง แต่ได้มีการปรับคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ดำเนินการวิเคราะห์ในเขตพื้นที่และพิจารณาประเด็นการอบรมเฉพาะเรื่อง ให้ตรงกับเป้าหมาย โดยส่วนกลางให้การสนับสนุนงบประมาณลงไปในพื้นที่เท่านั้น
3) การพัฒนาระบบการทดสอบ ประเมิน และประกันคุณภาพการศึกษา มีโครงการสำคัญคือ
-
การปฏิรูประบบทดสอบ โดยปรับลดการสอบ O-NET จากกลุ่มสาระการเรียนรู้จาก 8 กลุ่ม เป็น 5 กลุ่ม พร้อมปรับให้สอดคล้องกับการเรียนการสอน การสอบปลายภาค และการสอบ O-NET ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
-
การเฉลยข้อสอบ O-NET ได้มีการเฉลยข้อสอบ O-NET พร้อมวิเคราะห์ผลการสอบในแต่ละสาระการเรียนรู้และแต่ละโรงเรียน เพื่อปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน
4) การผลิตและพัฒนาคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศ มีโครงการสำคัญคือ
-
อาชีวศึกษาทวิภาคี ปัจจุบันมีสถานศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เข้าร่วมจำนวน 426 แห่ง ร่วมกับผู้ประกอบการ จำนวน 13,686 แห่ง ซึ่งตั้งเป้าหมายภายในปี 2564 ทุกสถานศึกษาของ สอศ. จะร่วมจัดหลักสูตรอาชีวศึกษาทวิภาคีอย่างน้อย 1 สาขา
-
สหกิจศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ร่วมกับภาคเอกชน 14,428 บริษัท เพื่อส่งนักศึกษา 37,472 คน จากสถาบันอุดมศึกษา 127 แห่ง เข้าไปฝึกงานเพื่อได้รับประสบการณ์จริง โดยจะมีความร่วมมือกับโครงการสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ เน้นการจัดทำฐานข้อมูลการผลิตและความต้องการกำลังคน, การจัดตั้ง Excellent Model School สถานศึกษาที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีพ
-
Re-Profile สถาบันอุดมศึกษา ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ให้มีความเป็นเลิศเฉพาะทาง เพื่อรองรับการขับเคลื่อนประเทศสู่ Thailand 4.0
-
ปรับระบบการศึกษาให้มีความยืดหยุ่น โดยปรับให้ผู้เรียนทั้งสายสามัญและสายอาชีพสามารถเรียนข้ามสายได้ เช่น จบประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยได้, จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าเรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงได้ เป็นต้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจให้เด็กมาเรียนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น
-
ระบบทวิวุฒิ เป็นหลักสูตรเรียนร่วมระหว่างไทยกับต่างประเทศ เมื่อเรียนจบแล้วจะได้ทั้งวุฒิการศึกษาของไทย-ต่างประเทศ เพื่อผลิตคนให้ตรงกับความต้องการ เช่น โครงการร่วมไทย-ญี่ปุ่น, โครงการร่วมไทย-เกาหลี เป็นต้น
5) ICT เพื่อการศึกษา มีโครงการสำคัญคือ
-
ขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ศธ.ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ต้องการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ให้กับทุกโรงเรียน โดยได้กำหนดเป้าหมายการวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตในโรงเรียน 8,396 แห่งที่อินเทอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึง รวมทั้งโรงเรียนประชารัฐเฟสแรก 3,312 แห่ง ซึ่งมีโรงเรียนที่ยังขาดสัญญาณอินเทอร์เน็ตอีก 349 แห่ง ดังนั้น คณะทำงานด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำร่วมกับภาคเอกชน ดำเนินการวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้เสร็จต่อไป
-
จัดทำฐานข้อมูลกลางของนักเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษา และสถานศึกษา เพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษา
6) การบริหารจัดการ มีโครงการสำคัญคือ
-
การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค เพื่อการดำเนินงานจัดด้านการศึกษาในระดับพื้นที่, การย้ายครู ผู้บริหาร ข้าราชการ, การให้ทุกส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคมมีส่วนร่วมจัดการศึกษา, การจัดกระบวนการศึกษาของจังหวัด และเพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
การจัดการศึกษาให้กับเด็กตกหล่น ประเทศไทยได้รับเกียรติจากยูเนสโกให้เป็นเจ้าภาพ เพื่อการจัดทำ บันทึกปฏิญญาอาเซียนเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาให้กับเด็กตกหล่น ได้เตรียมการเพื่อติดตามเด็กตกหล่นให้กลับเข้ามารับการศึกษา ซึ่ง ศธ.ได้ส่งมอบ Model ให้ กศจ.นำไปปรับใช้แล้ว
-
การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางการศึกษา แก้ไขปัญหาความยากจน โดยมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และจัดสรรงบประมาณปี 2560 จำนวน 39,900 ล้านบาท สำหรับเด็กไทยจำนวน 7 ล้านคน
-
การแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา จำเป็นต้องมีกฎหมายพิเศษเพื่อแก้ปัญหา
-
การจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2574) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเข้าถึงการศึกษา ความเท่าเทียม คุณภาพ ประสิทธิภาพ และตอบโจทย์การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร : สรุป/รายงาน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น : ถ่ายภาพ
15/9/2559
Advertisement
เปิดอ่าน 3,694 ครั้ง เปิดอ่าน 21,398 ครั้ง เปิดอ่าน 12,817 ครั้ง เปิดอ่าน 5,882 ครั้ง เปิดอ่าน 22,006 ครั้ง เปิดอ่าน 31,865 ครั้ง เปิดอ่าน 24,323 ครั้ง เปิดอ่าน 24,281 ครั้ง เปิดอ่าน 7,838 ครั้ง เปิดอ่าน 6,988 ครั้ง เปิดอ่าน 14,959 ครั้ง เปิดอ่าน 14,817 ครั้ง เปิดอ่าน 25,463 ครั้ง เปิดอ่าน 3,068 ครั้ง เปิดอ่าน 4,590 ครั้ง เปิดอ่าน 4,340 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 6,237 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 17,123 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 4,038 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 19,820 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 9,734 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 16,576 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 5,965 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 13,975 ครั้ง |
เปิดอ่าน 15,291 ครั้ง |
เปิดอ่าน 9,950 ครั้ง |
เปิดอ่าน 262,191 ครั้ง |
เปิดอ่าน 10,277 ครั้ง |
|
|