ข้อมูลจากThai herbs Clinic
ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาว
เพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย
รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล
คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม
ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปลวกหรือดอง
เก็บไว้กินกับน้ำพริก น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่ว
หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้ ฝักมะรุมอ่อนผัดน้ำมันหอย ยำฝักมะรุมอ่อนเป็นต้น
ประเทศอื่นๆจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง
หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ
นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร
เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนคร
ใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่น
ไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก
ในคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวไว้ว่า มะรุมเป็นพืชที่สามารถรักษาทุกโรค
ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคลำไส้อักเสบ โรคปอดอักเสบ
ฆ่าจุลินทรีย์ หรือเป็นยาปฏิชีวนะ
และแต่ละส่วนของต้นมะรุมยังมีคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถใช้เป็นยาได้
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้
แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ
ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก
แต่ที่ประเทศฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนม
จะกินแกงจืดใบ มะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนม
และเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam.
วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ
ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย
ชื่อมะรุมนี้ เป็นคำเรียกของชาวภาคกลาง
หากเป็นทางภาคเหนือจะเรียกว่า "ผักมะค้อนก้อม"
ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียก "ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม"
ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก "กาแน้งเดิง"
ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก "ผักเนื้อไก่" เป็นต้น
ลักษณะต้นมะรุม
มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง
ใบเป็นแบบขนนก หรือคล้ายกับใบมะขามออกเรียงแบบสลับกัน
ผิวใบสีเขียวด้านล่างสีจะอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว
กลีบดอกมี 5 กลีบผลหรือฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร
ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง เปลือกผลหรือฝักเป็นสีเขียวมีส่วนคอด
และส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝักฝักแก่ผิวเปลือกเป็นสีน้ำตาล
เมล็ดมีเยื่อหุ้มกลมเป็นสีน้ำตาล มีขนาดเล็ก
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร
มะรุม เป็นพืชที่ปลูกง่ายเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด
ต้องการน้ำ และความชื้นปานกลางขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด
และการปักชำการปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน
เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1-2 ต้น
เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา
มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน
เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขมแก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ
เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม
ใบช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ
ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา
ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
ยา :
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
ฝัก -ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม เปลือกต้น - มีรสร้อนรับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุมีคุณเสมอกับกุ่มบก
- แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบทใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้มแล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย
เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดีใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซีแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ดและใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวังในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD (โรคเม็ดโลหิตแดงแตกกระจาย)ไม่ควรรับประทาน
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
ใบ มะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่าการกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
กรัม (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)
ประโยชน์ของมะรุม
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบและลดสถิติการเสียชีวิต พิการและตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งแต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้นในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสีการดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบโรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูกโรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่นโรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอจะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสียท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจและโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ
ราก มีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ
เปลือกจากลำต้น มีรสร้อนนำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ แก้โรคปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอคุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก) แพทย์ตามชนบท จะใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆอมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมา
กระพี้แก้ไข้สันนิบาดเพื่อลม
ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซีแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่าใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
ดอกช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตาใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย
ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้
เมล็ด นำ เมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันสามารถใช้ทำอาหาร รักษาโรคปวดตามข้อโรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้งใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา
เนื้อในเมล็ดมะรุมใช้แก้ไอได้ดี การรับประทานเนื้อในเมล็ดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
นอกจากนี้กากของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมัน สามารถนำมาใช้ในการกรองหรือทำน้ำให้บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่งและยังสามารถนำมาทำปุ๋ยต่อได้อีกด้วย
สรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวกใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัดรักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลาใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติกเป็นต้น
การทำน้ำมันมะรุมมี 3 วิธีใหญ่ ๆ
1.นำเมล็ดมะรุมในฝักแก่มาทำการทอดในน้ำมันมะพร้าวด้วยไพอ่อนๆ จนเมล็ดแห้งกรอบ
2.นำเมล็ดมะรุมในฝักแก่มาบดละเอียดแล้วผสมน้ำ แล้วนำไปกลั่นเหมือนการต้มเหล้า
3.วิธีนี้สำคัญเพราะไม่มีความร้อนมาเกี่ยวข้อง ไม่มีน้ำมาเกี่ยวเป็นการบีบเย็นเลยทำให้คงรักษาคุณค่าสารสำคัญได้มากและได้น้ำมันคุณภาพดีที่สามารถเก็บไว้ได้นาน
น้ำมันมะรุม บีบเย็น
เริ่มจากการนำเม็ดมะรุมจากฟักแก่มาตากแดด เพื่อไล่ความชื้นแล้วทำการบีบด้วยเครื่องบีบอัดระบบสกูรแนวนอน จากเม็ดมะรุม 6 กิโลกรัมได้น้ำมันมะรุม 150 ซีซี
ชะลอความแก่
กล่าว กันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับและหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุการกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย
ฆ่าจุลินทรีย์
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปีพ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพสนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว
การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลองโดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม
ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก
การกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิมการศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุมนอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง
จากการวิจัยมะรุมสามารถขับไขมันในเส้นเลือด ในตับและในไตได้ แต่ไม่เป็นตัวขับนำหากจะรักษาอาการบวมจากโรคไต ควรรับประทาน ตะไคร้ แกนสับประรด อ้อยแดง หรือหญ้าคาต้มเอานำดื่ม จะใช้ตัวเดียวหรือหลายตัวผสมได้ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้จะออกฤทธิ์ในการขับนำปัสสาวะและรักษาอาการอักเสบทางเดินปัสสาวะได้ดีกว่าอีกทั้งไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาขับปัสสาวะแผนปัจจุบันที่จะทำให้หูอื้อได้ค่ะ
ฤทธิ์ป้องกันตับ
งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับโดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรสอัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือดและมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับโดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก)มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้
ข้อแนะนำในการรับประทานสมุนไพร
1.ควรศึกษาให้ดีก่อนว่าสมุนไพรชนิดนั้นๆมีฤทธิ์ทางใดมีข้อห้ามและข้อควรรับประทานอะไรบ้างจึงจะเกิดประโยชน์และไม่มีโทษ
2.หากสงสัยควรถามแพทย์แผนไทยหรือผู้รู้ให้กระจ่างก่อนจึงจะปลอดภัย
3.ปกติแล้วสมุนไพรทุกชนิด หากเรารับประทานเป็นประจำเพื่อส่งเสริมสุขภาพควรได้หยุดรับประทานเป็นระยะๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ และขับสารที่สะสมออกบ้างจะทำให้ได้รับประโยชน์ได้เต็มที่และไม่เกิดผลข้างเคียง