เมื่อเราขาดเมตตาต่อผู้อื่นย่อมเป็นการขาดเมตตาต่อตนเองด้วยเช่นกัน
พระนิพนธ์โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
โทสะคือความโกรธเปรียบได้ดั่งไฟ เพราะเมื่อความโกรธเกิดขึ้นเมื่อใด ความร้อนจะเกิดขึ้นพร้อมกันทันที ไม่ร้อนเพียงที่ใจยังร้อนถึงกายได้ด้วย มากน้อยตามแรงโทสะ ทุกคนชอบเย็นทุกคนไม่ชอบร้อน แต่ไม่ทุกคนที่รู้จริงว่า ความเย็นเกิดจากเมตตาจริงๆ และความร้อนเกิดจากโทสะจริงๆ
เมื่อความโกรธเกิดขึ้นต้องใช้สติ ให้รู้ตัวว่ากำลังโกรธแล้ว ขณะเดียวกันก็ให้สังเกตว่าจิตใจหน้าตาเนื้อตัวร้อนผิดปกติหรือไม่ จะรู้สึกชัดว่าจิตใจหน้าตาเนื้อตัวในเวลาโกรธนั้นร้อนผิดปกติ นั่นคือเครื่องยืนยันว่าโทสะทำให้เกิดร้อน
เมตตาเปรียบได้ดั่งน้ำดับไฟร้อนแห่งโทสะให้มอดลง น้ำดับไฟได้ฉันใด เมตตาก็ดับโทสะได้ฉันนั้น เปรียบโทสะดั่งไฟเพราะไฟร้อนและโทสะก็ร้อน เปรียบเมตตาดั่งน้ำเพราะน้ำเย็นและเมตตาก็เย็น ความร้อนและความเย็นทั้งสองนี้จะปรากฏในจิตใจรู้ได้ด้วยตนเอง ถ้ารู้สึกร้อนที่ใจเป็นประจำก็พึงรู้ว่าถูกโทสะครอบคลุมมากกว่าเมตตา ถ้ารู้สึกเย็นอยู่ที่ใจเป็นปกติก็พึงรู้ว่าตนมีเมตตาห้อมล้อมอยู่มากกว่าโทสะ
ทุกคนจะต้องประสบพบกับสิ่งไม่ต้องหูไม่ต้องตาไม่ต้องใจมากมายในแต่ละวัน พึงเตือนตนให้อบรมเมตตาให้มากยิ่งขึ้น ถ้าหยุดโกรธแค้นขุ่นเคือง น้อยใจ เสียใจ ร้อนใจ เพราะเสียง เพราะเรื่องที่กระทบได้เมื่อใด เมื่อนั้นจึงแสดงว่ามีเมตตาพอสมควร พอจะช่วยตนเองและช่วยผู้อื่นให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ เมื่อนั้นทุกคนจะรู้สึกว่าเมตตาค้ำจุนโลกจริง
เมตตาช่วยตนก่อนจริง เมตตาใหญ่ยิ่งจริง เช่นช้างนาฬาคิรีที่กำลังบ้าคลั่งเมามัน ยังพ่ายแพ้แก่พระเมตตาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอำนาจร้ายแรงใดทานอำนาจแห่งเมตตาได้นี้เป็นสัจจะคือความจริงที่จะเป็นจริงเสมอไปไม่มีเปลี่ยนแปลง พลังร้ายภายนอกที่มาแรงจะถูกพลังเมตตาที่แรงพอสยบพลังร้ายได้สิ้น และเมตตาเป็นบาทของศีล เมตตาจะทำให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้น
เมตตากับศีลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอ ยากจะแยกจากกันได้ผู้มีศีลคือผู้มีเมตตา ผู้มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีศีล เพราะศีลคือความไม่เบียดเบียนด้วยประการทั้งปวง ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและไม่เบียดเบียนทั้งผู้อื่น
การไม่เมตตาผู้อื่นเป็นการไม่เมตตาตนเองด้วย ศีลนั้นเกิดจากเมตตา เมตตาทำให้เกิดศีล ทั้งสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ศีลของผู้ใดบกพร่อง แสดงว่าเมตตาของผู้นั้นก็บกพร่องด้วย การเมตตาตนเองกับเมตตาผู้อื่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแยกจากกันไม่ได้ การไม่เมตตาผู้อื่นก็เป็นการไม่เมตตาต่อตนเองไปพร้อมกัน
พึงคิดถึงสัจธรรมประการหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้คือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ผู้ใดทำกรรมใดไว้จะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น เช่น ถ้าเราได้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นกรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ เพราะเราขาดเมตตาต่อผู้อื่น กฎแห่งกรรมย่อมทำให้เราได้รับผลของกรรมที่เราได้ทำไว้แล้วนั้นแน่นอน ทำกรรมอย่างไร ย่อมได้รับผลของกรรมอย่างนั้น เหมือนปลูกเมล็ดพืชชนิดใดย่อมได้พืชชนิดนั้น
เมื่อเราขาดเมตตาต่อผู้อื่นย่อมเป็นการขาดเมตตาต่อตนเองด้วยเช่นกัน เมื่อทำร้ายผู้อื่นแล้วกรรมย่อมกับมาให้ผลกับเราเช่นกัน ซึ่งเป็นการขาดความเมตตาต่อตนเองด้วยทำให้ต้องได้รับผลของกรรมเช่นกัน ผู้มีเมตตาหรือผู้มีศีลจึงเป็นผู้ค้ำจุนตนเองและค้ำจุนผู้อื่นทั้งหลาย ( การค้ำจุนตนเองคือการไม่ต้องรับผลของกรรมที่ทำไม่ดีกับผู้อื่น ส่วนการค้ำจุนผู้อื่นคือการไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สูญเสีย บาดเจ็บ ตาย เป็นต้น)
เมตตาเป็นเหตุให้มีศีล ศีลเกิดจากเมตตา เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก ก็คือศีลเป็นเครื่องค้ำจุนโลกเช่นกัน
ขออนุโมทนาบุญจากที่มาwww.bloggang.com