ยกเครื่อง Education 2.0
สร้าง The New S-Curve ใหม่ให้การเปลี่ยนแปลงของ Economy 4.0
สวัสดีครับเพื่อนสมาชิก สสค. เมื่อเร็วๆ นี้ สสค.ร่วมกับ
ธนาคารโลก และ มหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์ ชวน “นักเศรษฐ- ศาสตร์การศึกษา” มาร่วมฉายภาพ ‘การศึกษาไทย’ ที่เชื่อมต่อกับภาค เศรษฐกิจและสังคม
“พายุไต้ฝุ่นระดับ 5 กําลัง ทดสอบความสามารถในการปรับตัวของตลาดแรงงานไทย” คํากล่าวของดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐศาสตร์ การศึกษา สํานักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และ คุณภาพเยาวชน (สสค.) ดูจะไม่เกินจริงนัก ท่ามกลาง สถานการณ์เลิกจ้างที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และตัวเลขบัณฑิต ว่างงานที่พุ่งไม่หยุด
ข้อเท็จจริงนี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของธนาคารโลก เกี่ยวกับสถานการณ์แรงงานในประเทศไทย ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ ธนาคารโลก ชี้ว่าขีดความ สามารถในการแข่งขันของไทยถดถอยลงมา ตั้งแต่ปี 2007 ค่าจ้างของแรงงานทุกกลุ่ม ไม่เติบโต ทําให้กําลังซื้อและคุณภาพชีวิตของ แรงงานเหล่านี้ถดถอยมากกว่า 10 ปีแล้ว สวนทางกับ ตัวเลขการศึกษาของแรงงานไทยที่ดีขึ้นถ้านับตามจํานวนปี การศึกษาและคุณวุฒิสูงสุด ไทยมีปริมาณบัณฑิตเข้าสู่ตลาด แรงงานจํานวนมากกว่า 40-50% ของกําลังแรงงานรุ่นใหม่ที่เข้า สู่ตลาดแรงงาน แต่บัณฑิตเหล่านี้กลับขาดทักษะที่นายจ้าง ต้องการ ทําให้บัณฑิตจบใหม่กว่า 1 ใน 4 คนยังคงหางานทําไม่ได้ในปัจจุบัน
แล้วทักษะอะไรที่นายจ้างยุคเศรษฐกิจ 4.0 ต้องการ ?
จากรายงานของ World Economic Forum ชี้ถึง 10 ทักษะซึ่งจะเป็นที่ต้องการอย่างมากในปี 2020 ได้แก่
1.ทักษะการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน
2.การคิดวิเคราะห์
3.ความคิดสร้างสรรค์
4.การจัดการบุคคล
5.การทํางานร่วมกัน
6.ความฉลาดทางอารมณ์
7.รู้จักประเมินและการตัดสินใจ
8.มีใจรักบริการ
9.การเจรจาต่อรอง
10.ความยืดหยุ่นทางความคิด
“ในปี 2020 ทักษะทําซ้ำเป็นประจํา (Routine Skills) จะหมดโอกาสในการทํางาน 1 ใน 3 ของทักษะที่เป็นที่ ต้องการในปัจจุบันจะล้าสมัย 65% ของงานใน 10 ปีข้างหน้า ยังไม่เกิดขึ้น บททดสอบที่สําคัญคือ ครูและระบบการศึกษา ไทยในปัจจุบันกําลังสอนและพัฒนาเด็กเยาวชนเพื่อให้มีงาน และทักษะที่ยังไม่เคยมีอยู่ในปัจจุบัน แล้วครูและระบบ การศึกษาจะสอนเด็กอย่างไร?” ดร.ไกรยส ผู้เชี่ยวชาญด้าน นโยบายเศรษฐศาสตร์การศึกษา สสค. ตั้งคําถามต่อระบบ การศึกษาไทย
“โลกกําลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ใน อีก 5 ปีถัดจากนี้ จะเน้นการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรเข้ามา แทนที่แรงงานมนษุย์ที่ใช้ “ทักษะการทําซ้ำเป็นประจํา” (Routine Skill) เช่น หุ่นยนต์ การพิมพ์ 3 มิติ และ ระบบอุตสาหกรรม ที่เชื่อมโยงกับอินเตอร์เนตทั้งหมด Industrial Internet of things (IIOT) ซึ่งมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงกว่ามนุษย์ ไม่ ต้องการการควบคุมโดยมนุษย์ และมีต้นทุนต่อหน่วยที่ถูกกว่า” ดังนั้นแรงงานที่จะยังคงปลอดภัยและมีความ ก้าวหน้าในการประกอบอาชีพคือแรงงานที่มี “ทักษะที่หลากหลาย” (Non-routine Skills) ทั้งทักษะที่หลากหลาย ทางปัญญาและทางการสื่อสาร (Non-routine cognitive and interpersonal Skills) เช่น ทักษะความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการคิดวิเคราะห์ เป็นต้น
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรามุ่งหน้าสู่ Economy 4.0 ด้วย Education 2.0 ?
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณบดีคณะ เศรษฐศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ชี้ว่า Education 2.0 ไม่สามารถช่วยให้ผู้ที่เรียนจบ ปรับตัวให้เข้ากับโลกของการทํางานได้ ปัญหา ช่องว่างทางทักษะจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจปรับตัวแต่แรงงานไทย ปรับตัวไม่ทัน ทํางานไม่ได้ตามที่นายจ้างคาดหวัง จากผลวิจัยของม.ธุรกิจบัณฑิตย์และสสค.ในประเด็นช่องว่าง ทักษะเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต ตราด และอีก 14 จังหวัดทั่วประเทศพบว่า ช่องว่างทักษะสูงที่สุด 3 อันดับแรก ในกลุ่มจังหวัดที่มีระดับการ พัฒนาเทียบเท่ากับ Economy 2.0 และกําลังพัฒนาไปสู่ Economy 3.0 คือ
1) ทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศอื่นๆ
2) ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ และ
3) การใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนต
ในส่วนจังหวัดที่มีระดับการพัฒนาเทียบเท่ากับ Economy 3.0 และกําลังก้าวไปสู่ Economy 4.0 พบว่า ช่องว่างทักษะสูงที่สุด 3 อันดับแรก คือ
1) ความรู้เฉพาะตามตําแหน่งงานที่ทํา
2) การแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงาน และ
3) ความสามารถในการเรียนรู้งาน
“หากเทียบกับผลสํารวจของสหราชอาณาจักรและแคนาดา ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องช่องว่างทักษะรุนแรงกว่า สองประเทศนี้ถึงเท่าตัว และหากเปรียบเทียบความสามารถใน การแข่งขันของทุนมนุษย์ไทยกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียพบว่า ยังไม่ดีเท่ากับมาเลเซีย จีนและสิงคโปร์ ทั้งยังได้คะแนน คุณภาพการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่ำกว่าประเทศเวียดนามที่เริ่มต้นช้ากว่า 15-20 ปี หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย การศึกษาไทยในโลกยุคใหม่ต้อง ก้าวสู่การคิดวิเคราะห์ ค้นคว้าสิ่งใหม่ แต่ไทยยังท่องจําเพื่อไป สอบ ถ้าเรายังไม่ปรับตัวตอนนี้ เราอาจจะไม่ใช่สิ้นชาติ แต่จะ หมดโอกาสในการสร้างชาติ”
แล้วจะทําอย่างไรให้การศึกษาตอบโจทย์ภาคเศรษฐกิจ ?
ปฏิรูปการศึกษาไทยต้องเดินหน้าสู่ Education 4.0 ดร.ไกรยส นักเศรษฐศาสตร์การศึกษา สสค. กล่าวว่า
เป็นความท้าทายของระบบการศึกษาไทยที่จะสร้างThe New S-Curve ใหม่ในการพัฒนาทักษะที่หลากหลาย (Non-routine Skills) ให้แก่เด็ก
เยาวชนไทย เพื่อรองรับ S-Curve ที่ 4 ในยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้ทันหรือไม่ หลังจากที่ไทยได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากS-Curve ที่แล้วในการใช้ทักษะการผลิตและบริการ ของกําลังแรงงานของไทยไปสนับสนุนเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก และการท่องเที่ยวจนนําพาประเทศขึ้นสู่ประเทศรายได้ ปานกลางขั้นสูง (Upper-middle income country) ได้เมื่อ 20ปีที่ผ่านมาเพราะหากไม่สามารถทําได้ ประเทศไทยจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำมากขึ้นทุกวัน เพราะ ประเทศต่างๆ จะหันไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ที่มีทรัพยากร มนุษย์ที่มีคุณภาพสูงกว่า และปรับตัวเข้ากับยุค 4.0 ได้ดีกว่าประเทศไทย
“คําถามสําคัญต่อไปคือ The New S-Curve ใหม่ของ ไทยในระบบการศึกษาจะสร้างขึ้นได้อย่างไร และจะช่วยให้ กําลังแรงงานไทยรุ่นใหม่สามารถก้าวออกจากกับดักรายได้ ปานกลางได้ในเร็ววันนี้หรือไม่ ระบบการศึกษาไทยจึงจําเป็น ต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์นี้ให้ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ควรร่วมมือกันในการพัฒนาทักษะ ปฏิรูปการเรียนรู้ และแทนที่การเรียนรู้ที่ไม่ตรงต่อความ ต้องการทักษะในปัจจุบัน”
สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสค.
ขอบคุณที่มาจาก จดหมายถึงเพื่อนสมาชิก สสค.