เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมใหญ่ “นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู” จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ข้าราชการครูจากส่วนกลาง ประมาณ 25,000 คน เข้าร่วม รวมถึงข้าราชการครูทั่วประเทศที่รับชมการถ่ายทอดสดตามจุดที่แต่ละจังหวัดกำหนดสถานที่รับชม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณครูทุกคน แม้ที่ผ่านมาจะไม่ได้พบหน้าตา หรือ เจอตัวจริง ส่วนในสื่อมักจะเห็นภาพที่น่าเกลียด แต่ความจริงตนเองเป็นคนใจดี ตนเชื่อว่า คนที่เป็นครูทุกคนมีความตั้งใจในการทำหน้าที่ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ชัดเจนในระดับนโยบาย ทั้งทางการเมืองบ้าง และเรื่องอื่น ๆ บ้าง สำหรับตนไม่ใช่การเมือง ตนเข้ามาเป็นการบ้าน และการทหาร แต่ก็พยายามจะลืมคำว่าทหาร เพราะจะพูดมาก ขี้โมโห ไม่เช่นนั้นก็คุมกองทัพไม่ได้ วันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาพบกับครูจำนวนมากขนาดนี้ แบบที่ไม่เคยพบมาก่อน คราวหน้า กระทรวงศึกษาฯจัดมาให้เจอสัก 5 แสนคนได้หรือไม่ จะได้เจอกันตัวเป็น ๆ
“วันนี้ขอขอบคุณอันดับแรก ที่ไม่ได้ปรบมือตามสัญญาณ เพราะไม่มีสัญญาณ เรามีแต่สัญญา ว่าจะพูดคุยกันอย่างไรไม่ต้องเชียร์มาก ไม่ต้องส่งสัญญาณสู้ ๆ เพราะผมไม่ต้องไปสู้กับใคร เพราะไม่ใช่นักการเมือง อย่ามองผมในแง่ของการเมือง ผมสู้กับตัวเองของผมเท่านั้น สู้กับปัญหา ไม่ต้องมากังวลอะไรกับผม ผมเป็นคนอย่างนี้ เพราะผมเกิดที่ประเทศไทย เติบโตมาในครอบครัวที่เป็นครู มีมากหน่อยก็ตรงที่มีภรรยาเป็นครูด้วย วันนี้เหมือนกับว่าเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ผมจะรังแกครู ขอให้ถือว่าเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เราต้องร่วมมือกันคืนความสุขให้กับประเทศ และประชาชน และวันนี้ขอให้ครูคืนความสุขให้กับ คสช. บ้าง ในฐานะที่เราเข้ามาแก้ไข และปฏิรูปในทุกด้านของประเทศ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การศึกษาเพียงอย่างเดียว ขอเพียงอย่างเดียวคือ ความเข้าใจ ผมไม่ได้ต้องการอะไรอย่างอื่นจากพวกท่าน เพราะผมไม่ได้เข้ามาเพื่อต้องการอะไร ผมมีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของความอบอุ่น ที่ผ่านมาประเทศไทยขาดความอบอุ่นมานาน วันนี้ต้องช่วยกันทำให้คนทั้งประเทศมีความสุข เพราะฉะนั้นขอร้องอย่ามองผมในแง่การเมือง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การทำงานจะต้องยึดหลักของเสียงส่วนรวม คสช. เข้ามาใช้มาตรา 44 ก็เพื่อแก้ไขปัญหาทำให้บ้านเมืองสงบ ไม่ได้ต้องการเข้ามาปราบใคร และถึงแม้ตนจะเข้ามาแบบนี้ แต่ตนก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ตามขั้นตอน และกระบวนการยุติธรรม และในการทำงานที่ผ่านมา ได้วางพื้นฐานในการแก้ปัญหาของประเทศไว้ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนร่วมมือกันทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปให้ได้ รวมถึงขอให้รักษาศักดิ์ศรีของความเป็นครู และศักดิ์ศรีของความเป็นไทยเอาไว้ เราจะอยู่แบบนี้กันต่อไปไม่ได้ เพราะโลกมันเปลี่ยนแปลง เราต้องช่วยกันรดน้ำ เพื่อให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็ง เติบโตด้วยหัวใจของทุกคน ตนไม่บังอาจให้คนทุกคนทำตาม และคิดเหมือนตนได้ แต่พร้อมที่จะรับฟังคำทักท้วงจากทุกคน แต่ถ้ามาขัดแย้งมีเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องตนก็ไม่ฟัง เรื่องนี้ต้องเห็นใจกันบ้าง แต่ยืนยันว่าจะพยายามทำงานทุกอย่างเต็มที่
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ต้องทำให้ทุกคนมีความสุข ซึ่งหลายประเทศมีตั้งกระทรวงความสุข ประเทศไทยต้องมีหรือเปล่าไม่รู้ และวันนี้ประเทศไทยมีความสุขประเทศหนึ่งในช่วงนี้ ที่ผ่านมา มีความขัดแย้งอะไรตนไม่รู้ วันนี้ต้องทำให้ประเทศไทยสงบสุขกว่านี้กับประเทศต่าง ๆ หรือแม้แต่ที่ไม่ชอบเราตนก็อธิบายได้ทุกเรื่อง แต่ไอ้ที่ไม่ชอบเราก็มาหมด ซึ่งตนก็อธิบายทุกเรื่อง ไม่มีปิดบัง เพราะไม่ได้ทำเพื่อการเมือง แต่ทำเพื่อคนไทย เพื่อมิตรประเทศ สร้างความรู้ ความเข้าใจ และต้องทำให้สำเร็จ ไม่ใช่ทำแค่ผ่าน ๆ เพราะจะทำให้เราไม่มีที่ยืนในโลก ไม่มีความภาคภูมิใจ สำหรับตนมีความภาคภูมิใจ และตนไม่ยอมศิโรราบให้ใครทั้งสิ้น และจะเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว เดินให้ดี ไม่สะดุด โดยต้องผูกเชือกร้องเท้าก่อน
วันนี้ต้องนำประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการใช้หุ่นยนต์ สินค้าจากปัญญาความคิด ต้องไม่มุ่งหวังแบบเดิม ๆ เพราะปัจจุบันเกิดการรวมกลุ่มในหลายประเทศ ต้องนึกถึงเป้าหมาย ยึดฐานที่มั่น ทำการศึกษาให้มีคุณภาพใน 20 ปีข้างหน้า และเมื่อถึงวันนั้นตนไม่อยู่แล้ว ส่วนการบริหารงานใช้การเมืองนำไม่ได้ ประชาชนมีความรู้ มีคุณภาพ ที่ทุกวันนี้ขาดมากพอสมควร ทุกคนต้องรู้ดี รู้ชั่ว อะไรไม่ดีอย่าทำ เวลานี้ตนเหนื่อย อยากบอกพวกโลกสวยว่า สิ่งที่คิดว่าจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ มันทำไม่ได้ ไม่ง่าย และตนก็ไม่ได้ดูถูกใคร แต่มันกดดันตนเยอะ เร่งเวลา อย่างโทรศัพท์บางเครื่องที่ตนใช้อยู่พวกขัดแย้งอย่างเดียวก็โทร.มาด่าตลอด ซึ่งตนปิดไปแล้ว ซึ่งตนเคารพคนที่มีความรู้ ดังนั้น ทุกคนต้องรวมมือกัน เพราะถ้าไม่เดือดร้อน ตนไม่เข้ามาให้เปลืองตัว แต่อยากตายตาหลับ ให้มีความก้าวหน้า ไม่มีความขัดแย้ง ไม่ผิดวินัย ไม่ผิดกฎหมาย
นายกฯ กล่าวว่า ในวันนี้ครูต้องปรับตัวเปิดโลกทัศน์ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพราะ นอกจากจะเป็นผู้สอนแล้วต้องเป็นผู้เรียนด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตัวเอง ซึ่งต้องตรงกับคุณวุฒิและความชอบด้วย ในส่วนของงบประมาณด้านการศึกษาได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดินอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะ ใกล้เคียงกับสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา รวมแล้วต่อปีมากกว่า 2 แสนล้าน ต่อจำนวนครูห้าแสน สรุปได้คนละล้านต่อปี ดังนั้น เราต้องทบทวนว่าสิ่งที่ได้มาเพียงพอหรือยัง ต้องช่วยกันคิด
นายกฯ กล่าวต่อว่า ในเรื่องของคนไม่รู้หนังสือในอดีตหมายถึงอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่ในศตวรษที่ 21 หมายถึงคนที่เรียนรู้ หาความรู้ด้วยตัวเองไม่เป็น วันนี้การคิดต้องเป็นกระบวนการและสิ่งที่พูดวันนี้เพื่อให้นำไปคิดฉะนั้นกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีและทีมงานต้องรับไป โดยเฉพาะปัญหาเรียนจบแล้วไม่มีงานทำ เพราะจบมาแล้วทำงานไม่ได้ นี่คือ ปัญหาด้านการศึกษาที่ผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการ ซึ่งวันหน้าแรงงานต่างประเทศจะมาแย่งงานคนไทย และเราก็ห้ามไม่ได้เพราะคนของเราไม่มี รวมถึงเรื่องประวัติศาสตร์ชาติที่ต้องมีไว้ในระบบการศึกษา ต้องให้รู้เพื่อรู้ว่าคนไทยจะต้องรักประเทศตัวเองอย่างไร เรามีสถาบันเป็นศูนย์รวมจิตใจ แต่กลับไม่ทำให้เกิดประโยชน์ในสิ่งที่มีศักยภาพ จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกันอยู่แบบนี้
นายกฯ กล่าวว่า ชาติไทยเป็นประเทศที่มีความสงบสุข เท่าเทียมไม่ทะเลาะหรือขัดแย้งกัน มีการเผื่อแผ่แบ่งปันแสดงออกด้วยรอยยิ้ม อยากถามว่าก่อนปี 2557 มีรอยยิ้มกันสักเท่าไหร่ ไปไหนหน้าเป็นก็เป็นมีดกันหมด เพราะทะเลาะกัน และไม่หยุดจนถึงวันนี้ โดยกลุ่มเดิม ๆ ขอถามว่าตนไม่ให้ความเป็นธรรมตรงไหน ถ้าอยากได้รับความเป็นธรรมต้องเข้ามาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แล้วตนจะทำให้รู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม ถ้าไม่มาก็อยู่แบบนี้ ขอฝากครูในเรื่องนี้ไว้ด้วย
“ทุกอย่างต้องเริ่มด้วยกฎหมาย ถ้าจะให้ยกเว้นนู่นนี่ ถามว่าแล้วอีกหลายล้านคดีต้องยกหมดหรือไม่ ทั้งยาเสพติดฆ่าคนตาย มันไม่ได้หรอก ต้องกลับเข้าสู่กระบวนการก่อน ประเทศเราอยู่ด้วยกฎหมาย และประเทศมหาอำนาจพูดเองว่าในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรเท่าเทียมกัน อย่างแท้จริง ในโลกความเป็นจริง มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้โลกเกิดความเท่าเทียมได้คือกฎหมายใช่หรือไม่ หรือจะให้ยกเว้นนี่นู่น ตกลงไม่ต้องมีกฎหมายอะไร จะเป็นประเทศที่ไร้กฎหมายขื่อแปหรือยังไง เข้ามาสิ มาสู้ในกระบวนการยุติธรรม พร้อมให้โอกาสทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า คำสั่งมาตรา 44 ตนใช้เพื่อเร่งรัดการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพเรื่องการลงโทษ ต้องไปที่ศาล หรือกรรมการแต่ละหน่วยงานไปสอบกันเอง ตนไม่เคยไปสั่งถูกผิด เพราะไม่ใช่ปรมาจารย์ ซึ่งการทุจริตอย่างไรกันมาตนไม่รู้ ฉะนั้นกระทรวงฯต้องเพิ่มการเรียนรู้ในเรื่องกฎหมายไปด้วย โดยประวัติศาสตร์นั้นมีไว้ให้ภูมิใจสิ่งไหนดีทำต่อ สิ่งไหนไม่ดีอย่าทำ และต้องสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ข้างหน้า วันนี้อยู่ระหว่างการทบทวน เพื่อเดินประวัติศาสตร์มองไป 20 ปีข้างหน้า ตนหวังแค่นี้ ฉะนั้นไม่ต้องมาปรบมือให้ หรือมาบอกว่า ประยุทธ์สู้ ๆ เจ็บมือเปล่า ๆ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การศึกษาไทยต้องสอนให้ถึงแก่นแท้ ไม่ใช่สอนแค่กระพี้ เพราะเด็กบางคน ยังไม่รู้จักเลยว่ากระพี้คืออะไร ซึ่งกระพี้ก็คือเปลือกนอกของต้นไม้ เด็กบางคนยังไม่รู้เลยต้นพะยุง ต้นราชพฤกษ์เป็นอย่างไร เมื่อไม่รู้จักธรรมชาติ ก็ไม่รู้ว่าสิ่งรอบตัวเป็นอย่างไร ครูต้องเป็นผู้ที่สร้างกระบวนการตรงนี้ ระบบการศึกษาต้องเปลี่ยนจากการหาความรู้ให้นักเรียนเป็นการทำให้นักเรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยโดยเอง ด้วยโซเชียลมีเดีย หรือ สื่อไอทีต่าง ๆ เราต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยครูก็ต้องเป็นผู้เรียนรู้จากนักเรียนด้วย บางทีเราก็คิดช้ากว่าเขา เพราะเขาคิดคนละอย่าง เขาคิดว่าสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ที่ไร้ขีดจำกัดคือประชาธิปไตย มันไม่ใช่ มันต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
วันนี้เด็กไม่ค่อยมีความฝันอันยิ่งใหญ่ ส่วนตัวตอนเด็กๆ ก็ไม่คิดจะเป็นอะไรนอกจากทหารหรือครูเพราะมีพ่อเป็นทหารมีแม่เป็นครู แล้วโตมาก็เป็นทหารก็ไม่เคยคิดว่าเป็นผู้บัญชาการทหารบกแล้วก็มาเป็นนายกฯ ไม่เคยคิดเลย ให้ตายสิบครั้งก็ไม่เคยคิดเพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่วันนี้มันเป็นไปได้เพราะอะไร ก็เพราะความขัดแย้ง ถ้าท่านไม่อยากให้คนอย่างตนมายืนอยู่ตรง ก็ไม่ต้องขัดแย้งกันแค่นั้นเอง ดังนั้นอย่างรังเกียจตนมากนัก เพราะตนก็น้อยใจเป็น แต่ก็สู้ตลอด ไม่มีกลัว เขาไม่ได้สอนให้กลัว เพราะทหารกลัวไม่ได้
“หากเราใช้แนวทางพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะต้องให้เบ็ดตกปลาแทนการให้ปลา เพราะฉะนั้นวันนี้การศึกษาคือสอนให้จับปลาคือหมายถึงให้เรียนรู้ตัวเองเป็น และรู้จักจับปลาที่หลากหลายไม่ใช่จับชนิดเดียวกินแล้วก็เบื่อ ก็รู้อยู่ที่ผ่านมาเขาแจกอะไรกันบ้าง แจกอย่างนี้ก็ติดอยู่แบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า การศึกษาต้องทำให้เด็กให้ความสำคัญกับกระบวนการทุกวันนี้รู้กันหมด แต่ไม่รู้ว่ากระบวนการขั้นตอนทำอย่างไร กระบวนการการขั้นตอนทางกฎหมายเป็นอย่างไร ไม่ใช่เสนอวันนี้แล้วพรุ่งนี้ทำได้เลย แล้วความขัดแย้งมันเกิดขึ้นได้อย่างไรทั้งที่กฎหมายมีมากมายทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูก กระบวนระเบียบมากมาย ขอให้เห็นใจตนบ้าง อย่างน้อยที่สุดกฎหมายที่ดีที่สุด คือกฎหมายใจ ใจตัวเองนี่แหละคือกฎหมายจะได้ช่วยกัน ทั้งนี้ การเรียนสอนในศตวรรษที่ 21 ต้องสอนให้เชื่อโยงกับชีวิตจริง สอนวิธีเรียนให้กับผู้เรียน สอนทั้งเนื้อหาและทักษะ พัฒนาทักษะการคิด ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม มีกระบวนการ การใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการเรียนรู้ กระตุ้นการถ่ายเทความรู้ ตนพูดผิดหรือไม่ ทำกันอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าทำอยู่แล้วก็ดีแล้ว
นายกฯ กล่าวว่า เราต้องทำทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน ทำเพื่อวันนี้ อนาคต และเราต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ก่อน ในเรื่องการศึกษา เราต้องดูว่ามีความต้องการประเภทไหนบ้าง แล้วไปผลิตบุคลากรทางการศึกษาให้เพียงพอจบมาเเล้วตรงกับความต้องการของงาน นอกจากนี้ เราต้องลดภาระให้กับครูด้วย เพื่อที่จะให้มีโอกาสเตรียมการเรียนการสอน เข้าถึงเทคโนโลยี และเทคนิคการสอน อย่างโปร่งใสด้วย ถ้าเมื่อไหร่ประเทศไทยมีคนดี มีคุณธรรม คนไทยเข้มเเข็ง และไม่ทะเลาะเบาะเเว้ง ทุกอย่างก็จะเกิดขึ้น ตนรวมถึงรัฐบาลก็คาดหวังให้เกิดขึ้น แต่ตราบใดที่ยังมีคนชั่ว ไม่ว่าขออะไรก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น อย่าให้เกิดอีกเลย ต้องช่วยกัน
ส่วนการผลิตครูใหม่นั้น ทำยังไงจะผลิตคนรุ่นใหม่ หรือคนเก่งเข้ามาสู่โอกาส นอกจาก การเเต่งตั้งเครือญาติอย่างเดียว ซึ่งตนเข้าใจวัฒนธรรมไทยเป็นแบบนั้น แต่เราต้องคัดอนาคตของชาติด้วย โดยต้องทำให้โปร่งใส ได้บุคลากรที่ตรงตามคุณสมบัติ ไม่ใช่จบอะไรมาก็ไม่รู้เเล้วจะมาเป็นครูได้ทั้งหมด จะทำให้เรียนรู้ช้า
นายกฯ ยังกล่าวช่วงหนึ่งถึงการขึ้นทะเบียนยาสมุนไพรว่า เวลาคนเป็นหวัดควรจะกินยาฟ้าทะลายโจร 4 - 5 เม็ดก็หายป่วย แต่ถ้าไปกินยาเเรง ๆ ก็จะเหมือนคนดื้อยา เหมือนคนเลวมันดื้อยา กินยาอะไรก็ไม่หายป่วย เพราะฉะนั้นครูต้องทำหน้าที่เเนะเเนว สร้างคนให้เป็นคน สอนให้รู้ความถูกต้องผิดชอบชั่วดี คนบางคนดูไม่เหมือนคน หลายคนดูเหมือนคนแต่ไม่ใช่คน พูดเหมือนไม่ใช่คนไทย ตนพูดไปก็กลับมาด่าตนอีก ตนพูดด้วยจิตใจบริสุทธิ์ เพราะคนเลวก็คือคนเลว ตนเชื่ออย่างนั้น
“ในเรื่องการทำประชามติ ผมไม่สนใจว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน เป็นเรื่องของพวกท่าน ผ่านก็ผ่านไม่ผ่านก็คือไม่ผ่านผมไม่ว่า แต่อย่าทำผิดกฎหมาย และสร้างข้อมูลที่บิดเบือน กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะผ่าน หรือไม่ผ่าน การทำประชามติถือเป็นหน้าที่ของทุกคน เพื่อที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งการมีประชาธิปไตยจะต้องมีธรรมาภิบาล ขอให้ประชาชนทำหน้าที่ตามครรลองของประชาธิปไตย อย่าให้บุคคลใดมาชักจูงหรือเอาเปรียบในทางที่ผิด ซึ่งที่ผ่านมานักการเมืองให้แต่เงิน สำหรับผมทำไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการทำร้ายประเทศตัวเอง ทำไม่ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีใช้เวลากล่าวปาฐกถา ประมาณ 1.40 ชั่วโมง และก่อนที่จะลงจากเวทีก็ได้เชิญ พล.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะขึ้นบนเวที เพื่อร่วมร้องเพลง “เพราะเธอคือประเทศไทย” ก่อนที่จะลงมาเยี่ยมชมนิทรรศการ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaiday.com