ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมความรู้ทั่วไป  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

10 วิธีเลี้ยงลูกให้มีความสุขตามหลักวิทยาศาสตร์


ความรู้ทั่วไป 9 พ.ค. 2559 เวลา 15:18 น. เปิดอ่าน : 26,338 ครั้ง

Advertisement

10 วิธีเลี้ยงลูกให้มีความสุขตามหลักวิทยาศาสตร์ /ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

10 วิธีเลี้ยงลูกให้มีความสุขตามหลักวิทยาศาสตร์

ครอบครัวแต่ละครอบครัวอาจมีหลากหลายวิธีในการเลี้ยงลูกให้มีความสุข และให้ลูกมีการปรับตัวที่ดี แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มีเพียงไม่กี่วิธีเท่านั้นในการเลี้ยงลูกให้มีความสุขได้ ตั้งแต่ออกจากท้องจนกระทั่งออกจากอ้อมอกของคุณพ่อคุณแม่ไป วันนี้ผู้เขียนขอเสนอเทคนิคการเลี้ยงลูกที่ผ่านงานวิจัยสำหรับเป็นแนวทางให้ คุณพ่อคุณแม่ที่รักทุกท่านดังนี้

1. การหัวเราะและเล่นตลกกับลูก ๆ หากเราต้องการให้ลูกในวัยเตาะแตะมีการปรับตัวทางสังคมที่ดีในอนาคต เราควรเติมสีสันหรือชีวิตชีวาให้กับลูกโดยการเล่นและสนุกกับลูก งานวิจัยในปี 2011 ของ Economic and Social ของ สหรัฐอเมริกา ระบุไว้ชัดเจนว่า หากผู้ปกครองเล่นตลกหรือเล่นบทบาทสมมุติกับลูก จะทำให้ลูกในช่วงวัยเด็กมีความคิดสร้างสรรค์และเข้าสังคมได้ดี ลดความเครียดและมีการปรับตัวที่ดีเมื่อโตขึ้น เมื่อลูกโตขึ้นจะขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ และนึกถึงในช่วงวัยที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความรัก เล่นสนุก หัวเราะตลกขบขันไปด้วยกันที่ติดอยู่ในความทรงจำไปจนตลอดชีวิต

2. คิดทางบวก หากผู้ปกครองแสดงอารมณ์ในทางลบต่อลูกในวัยทารก ไม่ว่าจะเป็นการอุ้มโดยไม่มีความรัก ลูกจะรับรู้และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นและจะกลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าวเมื่ออยู่ในวัยเรียน และยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นอีกโดยงานวิจัยชี้ชัดว่าพฤติกรรมที่ก้าวร้าวเมื่อได้รับในช่วงวัยเด็ก -5 ขวบ จะทำให้มีความก้าวร้าวฝังลึกติดจนเป็นนิสัยในชีวิตต่อไป และจะส่งผลต่อคู่ครองในอนาคตด้วย ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าเราอยู่ในช่วงอารมณ์โกรธหรืออารมณ์ไม่ดีในขณะที่ลูกร้องไห้งอแง อย่าใส่อารมณ์กับลูก เพราะนั่นจะส่งผลต่ออนาคตของลูกซึ่งเป็นปัญหายาวนานที่ยากต่อการแก้ไข

3. ปลูกฝังการมีใจเมตตา งานวิจัยแนะนำว่าการปลูกฝังลูกให้มีใจเมตตาเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะการมีใจเมตตาทั้งต่อตนเองและผู้อื่นจะทำให้มีความคิดที่กว้างไกล มีความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึก มีการตัดสินใจที่สมเหตุสมผล ไม่นำความรู้สึกหมกมุ่นหรือปัญหาค้างคาใจกลับไปคิดที่บ้าน มีสามัญสำนึก หรือมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่ได้รับความยากลำบาก มีใจโอบอ้อมอารีและนึกถึงเมื่อเวลาที่ตัวเองได้รับความลำบากเช่นเดียวกันอีกทั้งสามารถจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ คุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นตัวอย่างให้กับลูก โดยการมีใจเมตตาและให้อภัยเมื่อลูกทำผิดเพื่อให้ลูกสามารถเริ่มต้นใหม่ได้

4. ปล่อยให้ลูกออกไปเผชิญ เมื่อถึงเวลาที่ลูกต้องออกจากรัง งานวิจัยแนะนำว่าดีที่สุด คือ ปล่อยลูกไป เมื่อลูกเริ่มเรียนเข้ามหาวิทยาลัยจงปล่อยให้ลูกเรียนรู้การเดินด้วยตัวเอง ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักมีความกระวนกระวายใจ และไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ลูกได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราควรจะพยายามผลักไสลูกออกไปจากบ้าน

5. สร้างชีวิตครอบครัวให้มีความสุข หากเราเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่เริ่มเห็นความสำคัญของคนอื่นมากกว่าคู่ครองของตนเอง นั้นถือว่ามีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว อย่าให้ความสัมพันธ์ของเราและคู่สมรสของเราขาดจากกันเมื่อมีลูก เพราะสิ่งเรานั้นจะส่งผลต่อการนอนของลูก ผู้ปกครองที่ไม่มีความสุขหรือไม่ประสบความสำเร็จในการแต่งงาน เช่น มีปัญหาทะเลาะกันบ่อย ๆ จะนำไปสู่การหย่าร้าง ส่งผลโดยตรงต่อลูกทำให้วัยเด็ก มีปัญหาทางด้านการนอนหลับ เด็กในวัยคลานมักจะงอแง งานวิจัยยังค้นพบต่อไปอีกว่า ผู้ที่มีปัญหาเรื่องของการแต่งงานจะทำจะส่งผลต่อลูกในวัยทารกจนถึงเก้าเดือนหรือโตมากกว่านั้นจะทำให้เกิดปัญหาการนอนไม่หลับในช่วงอายุ 18 เดือน และจะส่งผลให้ลูกมีปัญหาในเรื่องการหย่าร้าง มีความเครียด และนอนไม่หลับด้วยเช่นเดียวกันในอนาคต

6. รักษาสุขภาพจิต หากเราค้นพบว่าตัวเองเริ่มมีปัญหาเรื่องความเครียด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือขอความช่วยเหลือทันที เพราะนั่นจะเสี่ยงต่อการส่งผลต่อลูก งานวิจัยแนะนำว่าคุณแม่ซึ่งเกิดความเครียดจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวไม่ดีและไม่สามารถจะเป็นผู้ปกครองที่ดีได้ และเมื่อลูก ร้องไห้หรืองอแงจะไม่สามารถจัดการกับลูกได้ดีเท่ากับคุณแม่ที่มีสุขภาพจิตที่ดีกว่า คุณแม่ที่มีความเครียดมักจะเป็นแบบของผู้ปกครองซึ่งมีความคิดทางลบและจะส่งผลให้เด็กมีความเครียดด้วย งานวิจัยในปี พ.ศ. 2011 ค้นพบว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยคุณพ่อคุณแม่ซึ่งมีความเครียดได้ง่ายในช่วงปฐมวัย จะส่งผลให้ลูกมีความเครียด และในทางกลับกัน งานวิจัยบอกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงโดยเพราะคุณแม่ที่มีความคิดทางบวกจะมีสุขภาพจิตที่ดีกว่า

7. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่กับลูกชาย จากการศึกษาในปี 2010 พบว่าความสัมพันธ์ที่อบอุ่นของพ่อแม่จะเป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับลูกชายลูกสาวในอนาคตได้ งานวิจัยชิ้นนี้ได้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นในการพัฒนาเด็กปฐมวัย เรื่องความปลอดภัย ของเด็กและผู้ปกครอง ลูกที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความรักและความเข้าใจ จะมีความรู้สึกปลอดภัย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานทำให้ลูกเผชิญกับโลกกว้างภายนอกได้ดี ความสัมพันธ์ของแม่กับลูก จะสร้างความเชื่อมโยงกับชีวิตรักที่โรแมนติกของลูกในชีวิตอนาคต งานวิจัยแสดงในปี พ.ศ. 2010 แสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของแม่และพ่อในช่วงวัยเด็กก่อน 14 ปี ส่งผลต่อชีวิตรักของลูกในวัยที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะลูกจะเรียนรู้การแสดงความรักที่ถูกต้องจากการได้รับความรักในวัยเด็กจากคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง

8. อย่าตื่นตกใจหรือหงุดหงิดง่าย เมื่อลูกวัยรุ่นเริ่มตอบกลับโดยย้อนและโต้เถียงความคิดเห็นของคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่อย่าเป็นคนที่หงุดหงิดง่ายไปตามอารมณ์ลูก ลูกที่รู้จักโต้เถียง หรือแสดงความคิดเห็นกับคุณพ่อคุณแม่จะสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ไปต่อสู้กับโลกภายนอกได้ อีกทั้งสามารถแก้ไขปัญหาและโต้ตอบกับเพื่อนเมื่อมีความขัดแย้งและปฏิเสธเมื่อเพื่อนชักชวนไปในทางที่ผิดได้ ดังนั้นลูกจะเรียนรู้จากการเป็นแบบอย่างของคุณพ่อคุณแม่

9. ไม่ควรมีเป้าหมายอยู่ที่ความสมบูรณ์แบบเท่านั้น ไม่มีใครในโลกนี้เป็นคนสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ไม่ควรจะทรมานตัวเองด้วยการตั้งมาตรฐานที่สูงเกินไปว่าเราควรเป็นผู้ปกครองที่สมบูรณ์แบบ จากการศึกษาในปี 2011 ได้มีการตีพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องของบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล พบว่า ผู้ปกครองมือใหม่ที่มีความเชื่อว่าสังคมมีความคาดหวังความสมบูรณ์แบบจากตัวคุณพ่อคุณแม่เอง จะทำให้เกิดความกดดันและไม่มีความมั่นใจ ขาดทักษะการเป็นผู้ปกครองที่ดี มีความวิตกกังวลสูง ซึ่งตรงข้ามกับผู้ปกครองซึ่งไม่ได้คาดหวังความสมบูรณ์แบบจากตัวเองและลูกจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่เครียดสบายๆ มากกว่าผู้ปกครองที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ

10. สุดท้ายแต่เป็นข้อที่สำคัญมากทีเดียว คือ การที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักลูกแต่ละคน ผู้ปกครองหลายท่านมีความคิดว่า ท่านรู้จักวิธีการเลี้ยงลูกและรู้จักลูกแต่ละคนดีพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงแบบของการเลี้ยงลูกของคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถจะเป็นแบบที่สมบูรณ์และเหมาะสมต่อลูกทุกคนทั้งหมดได้ ผู้ปกครองที่รู้จักการปรับตัวของตัวเองในการเลี้ยงดูลูก พบว่ามีความเครียดที่ลดน้อยลงมากขึ้นกว่าครอบครัวที่เลี้ยงลูกแบบเป็นแบบแผนเคร่งครัด มีระเบียบวินัยตามแบบที่ตัวเองเคยได้รับการเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก มีงานวิจัยทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการเด็กในปี พ.ศ. 2011 ได้กล่าวว่าครอบครัวบางครอบครัวหากมีลูกที่อ่อนแอและช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ คุณพ่อคุณแม่มักเข้าไปช่วยเหลือและป้องกันจนกลายเป็นการปกป้องลูกมากเกินไปทำให้ลูกไม่รู้จักการช่วยเหลือตัวเอง ทำอะไรไม่เป็นและทำให้ลูกยิ่งมีความเครียดมากขึ้นในอนาคต ดังนั้นแบบการเลี้ยงลูกที่ถูกต้อง คือ การดูแลช่วยเหลือตามความจำเป็นและความต้องการของลูก อย่าปกป้องลูกมากจนเกินไปหรือปล่อยปละละเลยมากจนเกินไปด้วยเช่นเดียวกัน

การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีและเป็นคนเก่งในสังคมในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก แต่การร่วมมือกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่ ความเข้าใจที่ดีภายในครอบครัว การทำตัวที่เป็นแบบอย่างจะทำให้ลูกผ่านพ้นอุปสรรคปัญหา และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข มีสุขภาพจิตที่ดี ส่งผลต่อคนรอบข้าง สามารถสร้างสรรค์สังคมที่ดีต่อไปในอนาคตได้ เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง www.livescience.com

 

ที่มา MGR Online วันที่ 8 พฤษภาคม 2559

 


10 วิธีเลี้ยงลูกให้มีความสุขตามหลักวิทยาศาสตร์10วิธีเลี้ยงลูกให้มีความสุขตามหลักวิทยาศาสตร์

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

กินแตงโม...ลดความดันเลือด

กินแตงโม...ลดความดันเลือด


เปิดอ่าน 16,672 ครั้ง
วันออกพรรษา

วันออกพรรษา


เปิดอ่าน 16,244 ครั้ง
ตำแหน่ง "สิว" บอกสุขภาพ

ตำแหน่ง "สิว" บอกสุขภาพ


เปิดอ่าน 11,230 ครั้ง
พลังบำบัดจากน้ำมะพร้าว

พลังบำบัดจากน้ำมะพร้าว


เปิดอ่าน 17,831 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

eco car เทรนด์ใหม่ รถเล็ก ประหยัดพลังงาน

eco car เทรนด์ใหม่ รถเล็ก ประหยัดพลังงาน

เปิดอ่าน 17,306 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
เคล็ดลับน่ารู้วิธีเลิกติดกาแฟ
เคล็ดลับน่ารู้วิธีเลิกติดกาแฟ
เปิดอ่าน 13,469 ☕ คลิกอ่านเลย

สมุนไพรไทย
สมุนไพรไทย
เปิดอ่าน 16,754 ☕ คลิกอ่านเลย

ผลวิจัยชี้ใบสาบเสือแห้งห้ามเลือดได้ดีกว่าผ้าก๊อซ
ผลวิจัยชี้ใบสาบเสือแห้งห้ามเลือดได้ดีกว่าผ้าก๊อซ
เปิดอ่าน 16,314 ☕ คลิกอ่านเลย

ขั้นตอนการเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ขั้นตอนการเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
เปิดอ่าน 14,588 ☕ คลิกอ่านเลย

เตรียมตัวก่อนไปทะเล
เตรียมตัวก่อนไปทะเล
เปิดอ่าน 8,585 ☕ คลิกอ่านเลย

การทำ SEO ทำยังไงให้ติดหน้าแรก Google กลยุทธ์ทางการตลาดที่หลายธุรกิจเลือกใช้
การทำ SEO ทำยังไงให้ติดหน้าแรก Google กลยุทธ์ทางการตลาดที่หลายธุรกิจเลือกใช้
เปิดอ่าน 395 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

พืชกับศิลปะไทยโบราณ
พืชกับศิลปะไทยโบราณ
เปิดอ่าน 32,124 ครั้ง

คู่มือการใช้งานบัตรเครดิตราชการ
คู่มือการใช้งานบัตรเครดิตราชการ
เปิดอ่าน 12,645 ครั้ง

5 ผักธรรมดาที่ไม่ธรรมดา กินมากไประวังอาการเหล่านี้!!
5 ผักธรรมดาที่ไม่ธรรมดา กินมากไประวังอาการเหล่านี้!!
เปิดอ่าน 43,936 ครั้ง

6 สมุนไพรต้านริ้วรอย ช่วยคืนความอ่อนเยาว์
6 สมุนไพรต้านริ้วรอย ช่วยคืนความอ่อนเยาว์
เปิดอ่าน 464 ครั้ง

ลองอ่าน"เมื่อเฟซบุ๊คเฉลยปริศนา เพราะอะไรเราจึงไม่มีปุ่มคลิก"dislike"(ไม่ชอบ) ให้พวกคุ
ลองอ่าน"เมื่อเฟซบุ๊คเฉลยปริศนา เพราะอะไรเราจึงไม่มีปุ่มคลิก"dislike"(ไม่ชอบ) ให้พวกคุ
เปิดอ่าน 7,611 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ