ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมข่าวการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

คนไทยอ่านหนังสือนานขึ้น 66 นาทีต่อวัน


ข่าวการศึกษา 31 มี.ค. 2559 เวลา 06:44 น. เปิดอ่าน : 7,249 ครั้ง
Advertisement


Advertisement

คนไทยอ่านหนังสือนานขึ้น 66 นาทีต่อวัน

สำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดผลสำรวจการอ่านคนไทย พบอัตราการอ่านลดลงเมื่อเทียบปี 56 แต่ใช้เวลาอ่านเพิ่มขึ้น ขณะที่คนอ่านหนังสือพิมพ์มากที่สุด เผยน่าตกใจเด็ก 6-14 ปีจำนวนมากไม่อ่านหนังสือ เพราะอ่านไม่ออก

วันนี้ (30 มี.ค.) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (ทีเค พาร์ค) แถลงข่าวผลสำรวจสถิติการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ.2558 และเสวนาในหัวข้อ "ผลสำรวจการอ่านกับแนวโน้มพฤติกรรมการอ่านของคนไทย" โดย นางปัทมา อมรสิริสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักสถิติสังคม กล่าวว่า จากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านของประชากรช่วงนอกเวลาเรียน เวลาทำงาน จากประชากรตัวอย่าง 46,460 ครัวเรือนทั่วประเทศ หรือ 135,165 คน เก็บข้อมูลในเดือน พ.ค.-มิ.ย.58 พบว่า ในกลุ่มประชากรอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป มีอัตราการอ่านลดลงจาก 81.8% ในปี 2556 เป็น 77.7% หรือ 48.4 ล้านคน ในปี 2558 แต่ใช้เวลาในการอ่านเพิ่มสูงขึ้น จากเดิมปี 2556 อยู่ที่ 37 นาทีต่อวัน ส่วนปี 2558 อยู่ที่ 1 ชั่วโมง 6 นาที หรือ 66 นาทีต่อวัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 29 นาที ทั้งนี้เมื่อแยกเป็นช่วงอายุ พบว่า วัยเด็ก อ่านวันละ 71 นาที วัยรุ่น อ่านวันละ 94 นาที วัยทำงาน อ่านวันละ 61 นาที และวัยสูงอายุ อ่านวันละ 44 นาที

“ที่น่าสนใจพบว่า ประเภทของหนังสือที่อ่านมากที่สุดคือ หนังสือพิมพ์ 67.3% รองลงมาคือ ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ เอสเอ็มเอส และอีเมล์ 51.6% และพบว่าแม้สื่อสังคมออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ผู้อ่านยังนิยมอ่านหนังสือในรูปหนังสือเล่มมากที่สุด 96.1% รองลงมาคือ อ่านจากสื่อสังคมออนไลน์ 45.5% และอ่านจากเว็บไซต์ 17.5% สำหรับเนื้อหาสาระที่ผู้อ่านชอบอ่านมากที่สุดคือ ข่าว สารคดี และความรู้ทั่วไป 48.5%” นางปัทมา กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามมีประชากรวัย 6 ปีขึ้นไป ถึง 22.3% หรือ 13.9 ล้านคน ที่ไม่อ่านหนังสือ โดยสาเหตุที่ไม่อ่านเพราะชอบดูโทรทัศน์มากกว่าถึง 41.9% รองลงมาคือ ไม่ชอบอ่าน หรือไม่มีเวลาอ่าน ประมาณ 24% และอ่านไม่ออก 20.6% แต่เมื่อแยกตามช่วงอายุ พบว่า ในวัยเด็ก อายุ 6-14 ปี สาเหตุที่ไม่อ่าน เพราะชอบดูโทรทัศน์ 36.7% รองลงมาคืออ่านไม่ออก 34.7% วัยเยาวชน อายุ 15-24 ปี และวัยทำงาน อายุ 25-29 ปี สาเหตุที่ไม่อ่าน เพราะชอบดูโทรทัศน์ประมาณ 40.0% และวัยสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่อ่านเพราะสายตาไม่ดี 43.9% ทั้งนี้ยังพบด้วยว่า ความสามารถในการอ่านเขียน และคำนวณของประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจากปี 2556 เดิมอยู่ที่ 91.1% เป็น 91.5% แต่การอ่านออก และเขียนได้ลดลงจากปี 2556 เดิมอยู่ที่ 94.1% เป็น 93.0%

“ข้อมูลการไม่อ่านหนังสือของเด็กวัย 6-14 ปี เป็นข้อมูลที่น่าตกใจ เพราะมีสาเหตุมาจากการอ่านไม่ออกถึง 34.7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่อันตราย เพราะมันสะท้อนถึงคุณภาพการศึกษา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ปัญหา นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนรักการอ่านมากขึ้น เพราะหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นรูปเล่ม หรือออนไลน์ ล้วนเป็นแหล่งความรู้ โดยเชื่อว่าหากเริ่มปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนไทยตั้งแต่วันนี้ อนาคตของชาติก็จะมีคุณภาพที่ดีขึ้น”นางปัทมา กล่าว

นางปัทมา กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ในส่วนของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี พบว่า ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมามีแนวโน้มการอ่านเพิ่มขึ้น โดยปี 2558 อยู่ที่ 60.2% หรือ 2.7 ล้านคน นอกจากนี้เวลาที่ใช้ในการอ่านก็เพิ่มขึ้น จากเดิมปี 2556 อยู่ที่ 27 นาทีต่อวัน เป็น 34 นาทีต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 7 นาทีต่อวัน แต่หากเปรียบเทียบความถี่ของการอ่าน พบว่า ปี 2558 มีเด็กเล็กที่อ่านทุกวันแค่ 17.9% ลดลงจากปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 26.1% และมีเด็กที่อ่านน้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน 9.7% แต่ในปี 2556 มีแค่ 4.8% สำหรับประเภทสื่อที่เด็กเล็กชอบอ่านมากที่สุดคือ หนังสือเล่มอย่างเดียวถึง 77.6% มีเพียง 1.7% ที่อ่านจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างเดียว และมีแนวโน้มว่าผู้ใหญ่จะซื้อหนังสือให้เด็กเล็กลดลง โดยปี 2556 อยู่ที่ 82.6% ขณะที่ปี 2558 อยู่ที่ 78.5% ส่วนเด็กที่ไม่อ่านหนังสือมีอยู่ 39.8% หรือ 1.8 ล้านคน โดยสาเหตุที่ไม่อ่าน เพราะเด็กยังเล็กเกินไป 65.9% อ่านไม่ออก 18.8% ชอบดูโทรทัศน์ 5.8% ไม่ชอบอ่านหรือไม่สนใจ 36% ขณะที่ผู้ใหญ่บางส่วนก็ไม่อ่านหนังสือให้เด็กฟัง เพราะคิดว่าเด็กยังเล็กเกินไป หรือไม่มีเวลาอ่านให้เด็กฟัง ซึ่งตรงนี้จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยอย่างมาก

นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การส่งเสริมการอ่านที่ได้ผลในเด็กเล็กคือ การอ่านแบบมีความสุข สร้างความรื่นรมย์ให้แก่เด็ก ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษา และทักษะการเรียนรู้ให้แก่เด็กเล็ก โดยที่ผ่านมาองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับส่งเสริมการอ่าน ได้ดำเนินการมาอย่างยาวนาน แต่ยังไม่ตรงจุด เพราะความจริงแล้วการรณรงค์รักการอ่านจะต้องให้เด็กอ่านอย่างมีความสุข และแยกการอ่านหนังสือเรียนออกไปด้วย.

 

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 30 มีนาคม 2559

หนาวแล้ว ออกแคมป์กันเถอะ! ⛺ เตาแก๊สปิคนิค พกพาสะดวก ออก Outdoor ได้สบายๆ รุ่น KJ-101 แถมฟรี!!กล่องเก็บเตา ในราคา ฿244

https://s.shopee.co.th/7fJQKGPCjr?share_channel_code=6


คนไทยอ่านหนังสือนานขึ้น 66 นาทีต่อวันคนไทยอ่านหนังสือนานขึ้น66นาทีต่อวัน

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

:: เรื่องปักหมุด ::

ด่วนที่สุด! แนวทางการบริหารจัดการงบประมาณค่าอาหารกลางวัน นักเรียนชั้น ม.1-3 โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา

ด่วนที่สุด! แนวทางการบริหารจัดการงบประมาณค่าอาหารกลางวัน นักเรียนชั้น ม.1-3 โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา

เปิดอ่าน 4,873 ☕ 2 ธ.ค. 2567

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
ผลการคัดเลือกโรงเรียนวิถีพุทธชั้นนำ รุ่นที่ 15
ผลการคัดเลือกโรงเรียนวิถีพุทธชั้นนำ รุ่นที่ 15
เปิดอ่าน 411 ☕ 22 ธ.ค. 2567

สพฐ.สำรวจความต้องการขอรับจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา ตำแหน่งครูผู้สอนเพิ่มเติม
สพฐ.สำรวจความต้องการขอรับจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา ตำแหน่งครูผู้สอนเพิ่มเติม
เปิดอ่าน 378 ☕ 22 ธ.ค. 2567

เกียรติบัตรสำหรับสถานศึกษาที่เข้าร่วมการประกวดคลิปวีดิทัศน์ "Meditation Clip Contest"
เกียรติบัตรสำหรับสถานศึกษาที่เข้าร่วมการประกวดคลิปวีดิทัศน์ "Meditation Clip Contest"
เปิดอ่าน 527 ☕ 20 ธ.ค. 2567

ชื่อเต็ม ชื่อย่อ ของหน่วยงานและผู้บริหารระดับสูง ในสังกัด สพฐ.
ชื่อเต็ม ชื่อย่อ ของหน่วยงานและผู้บริหารระดับสูง ในสังกัด สพฐ.
เปิดอ่าน 872 ☕ 19 ธ.ค. 2567

ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล "ครูดีในดวงใจ" ครั้งที่ 22 ประจำปี พ.ศ. 2568
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล "ครูดีในดวงใจ" ครั้งที่ 22 ประจำปี พ.ศ. 2568
เปิดอ่าน 1,924 ☕ 19 ธ.ค. 2567

ศธ. เปิดตัวระบบTRS ย้ายครูออนไลน์ทุกกรณี แก้ปัญหาทุจริตโยกย้ายไม่เป็นธรรม
ศธ. เปิดตัวระบบTRS ย้ายครูออนไลน์ทุกกรณี แก้ปัญหาทุจริตโยกย้ายไม่เป็นธรรม
เปิดอ่าน 779 ☕ 17 ธ.ค. 2567

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

นักเรียน ม.2 ประดิษฐ์ หุ่นยนต์ล้างเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ เน้นประหยัดเวลา ประหยัดเงิน
นักเรียน ม.2 ประดิษฐ์ หุ่นยนต์ล้างเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ เน้นประหยัดเวลา ประหยัดเงิน
เปิดอ่าน 11,776 ครั้ง

กูเกิล เผยอันดับคำค้นสุดฮิตของไทย ประจำปี 2012
กูเกิล เผยอันดับคำค้นสุดฮิตของไทย ประจำปี 2012
เปิดอ่าน 11,608 ครั้ง

10 เคล็ดลับคลายความเหนื่อยล้า ปลุกพลังกลับมาอีกครั้ง
10 เคล็ดลับคลายความเหนื่อยล้า ปลุกพลังกลับมาอีกครั้ง
เปิดอ่าน 15,170 ครั้ง

ชาวเน็ตแห่เล่น "หิมะ" ตกในเมืองไทย
ชาวเน็ตแห่เล่น "หิมะ" ตกในเมืองไทย
เปิดอ่าน 15,304 ครั้ง

ภาษาและอักษรไทย
ภาษาและอักษรไทย
เปิดอ่าน 21,990 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ