ธอส.ผู้นำสินเชื่อเพื่อบ้าน เดินหน้าโครงการบ้านประชารัฐทันที เริ่ม 23 มี.ค.นี้ ทุกสาขาทั่วประเทศ!!
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมวงเงิน 30,000 ล้านบาท สนับสนุนโครงการบ้านประชารัฐ ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสร้างโอกาสให้ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยวงเงิน 10,000 ล้านบาท เป็นสินเชื่อพัฒนาโครงการอัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 4% ต่อปี และวงเงินอีก 20,000 ล้านบาท เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนทั่วไป แบ่งเป็นกรณีกู้ไม่เกิน 700,000 บาท ทั้งนี้ยังมีการให้สินเชื่อเพื่อซ่อมแซม/ ต่อเติมวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทอีกด้วย คิดอัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% ต่อปี และกรณีวงเงินกู้มากกว่า 700,000 บาทแต่ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1-3 เท่ากับ 3% ต่อปี พร้อมพิจารณาสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) ในอัตราที่ผ่อนปรน ประชาชนที่มีคุณสมบัติในโครงการสามารถรับวงเงินกู้ที่สูงขึ้นเพียงพอต่อการซื้อบ้าน ติดต่อยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ
นางไลวรรณ ปองเสงี่ยม รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบจัดทำโครงการบ้านประชารัฐ เพื่อช่วยสร้างโอกาสให้ประชาชนทั่วไป ครอบคลุมข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจหลักในการให้บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ได้รับมอบหมายจากภาครัฐให้สนับสนุนสินเชื่อ “โครงการบ้านประชารัฐ” วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
1.สินเชื่อพัฒนาโครงการ(Pre Finance) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้กู้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นำไปจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ อัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1-2 เท่ากับ 4 % ต่อปี ปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า MLR – 1% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 6.65% ต่อปี)
2.สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) สำหรับประชาชนทั่วไป วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนแยกออกเป็น (1.) วงเงินกู้เพื่อซื้อหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคา ไม่เกิน 700,000 บาท หรือกรณีกู้เพื่อซ่อมแซมหรือต่อเติมวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปีแรก ปีที่ 2 – 3 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ปีที่ 4-6 อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี และปีที่ 7 จนถึงตลอดอายุสัญญา อัตราดอกเบี้ย MRR–0.75% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR อยู่ที่ 6.75% ต่อปี) (2.) วงเงินกู้เพื่อซื้อหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคามากกว่า 700,000 บาทแต่ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1-3 เท่ากับ 3% ต่อปี ปีที่ 4–6 อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี และปีที่ 7 จนถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR–1% ต่อปี และกรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ย MRR–0.75% ต่อปี โดยผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน ยกเว้นกรณีซ่อมแซมหรือต่อเติมที่อยู่อาศัย ซึ่งมูลค่ารวมของที่ดินและที่อยู่อาศัย ที่จะขอกู้เพื่อซ่อมแซมหรือต่อเติมต้องไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
“วัตถุประสงค์ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ซ่อมแซม/ต่อเติม และซื้อทรัพย์ NPA ซึ่ง ธอส.มีทรัพย์ที่เข้าร่วมโครงการกว่า 2,300 รายการ และเพื่อให้ลูกค้าประชาชนมีโอกาสได้รับวงเงินกู้ที่สูงขึ้นเพียงพอต่อการซื้อบ้านในฝันของตนเอง ธอส.จึงผ่อนปรนสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) เพิ่มเป็นสูงสุดไม่เกิน 50% ของรายได้สุทธิต่อเดือนกรณีลูกค้ารายย่อย กรณีลูกค้าสวัสดิการที่ทำข้อตกลงหักเงินเดือนกับธนาคารจะใช้ DSR ที่ 80% ของรายได้สุทธิ ผ่อนชำระนานสูงสุด 30 ปี ซึ่งจะทำให้วงเงินกู้ของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น และอัตรา ผ่อนชำระรายเดือนลดลง อาทิ กรณีวงกู้ไม่เกิน 700,000 บาท เริ่มต้นผ่อนชำระ 3 ปีแรกเพียง 3,000 บาท/เดือน วงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท เริ่มต้นผ่อนชำระ 7,200 บาท/เดือน กรณีกู้ซ่อมแซม / ต่อเติม วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท เริ่มต้นผ่อนชำระ 2,100 บาท/เดือน ”นางไลวรรณ กล่าว
ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมได้ภายในระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในวันที่ 22 มีนาคม 2559 หรือภายใต้กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ที่มา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วันที่ 22 มีนาคม 2559
บ้านประชารัฐ เปิดจองแล้ว ผ่อนเดือนละ 3 พัน พลิกอ่านเงื่อนไข ใครมีสิทธิ์จับจอง ?
คนอยากมีบ้านเตรียมเฮอีกแล้ว หลังจากเมื่อกลางปี 2558 รัฐบาลอัดมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยการผ่อนปรนเงื่อนไขขอสินเชื่อบ้านให้ผู้มีรายได้ปานกลาง ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 รัฐบาลได้ไฟเขียวโครงการ "บ้านประชารัฐ" สานฝันให้คนรายได้น้อยได้มีบ้านสมใจ ลองไปพลิกเงื่อนไขบ้านประชารัฐกันดูว่าเรามีสิทธิ์จับจองบ้านประชารัฐด้วยหรือไม่
โครงการบ้านประชารัฐเป็นอย่างไร?
สำหรับโครงการบ้านประชารัฐภาครัฐจะปล่อยสินเชื่อวงเงิน 70,000 บาท แบ่งเป็นสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์สร้างที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท ผ่านธนาคารกรุงไทย ออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่วนอีก 4 หมื่นล้านบาท เป็นสินเชื่อให้ประชาชนกู้ซื้อบ้านผ่านธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ แห่งละ 2 หมื่นล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี
โครงการบ้านประชารัฐ มีที่ไหนบ้าง
ที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการบ้านประชารัฐมีราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งสร้างบนที่ดินของตนเอง โครงการของเอกชน หรือโครงการที่สร้างบนที่ดินของรัฐ ซึ่งครอบคลุมที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ รวมทั้งเอ็นพีเอของกรมบังคับคดี
ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย หรือเข้าไปตรวจสอบได้จาก "ทรัพย์สินรอขาย" ตามลิงก์ด้านล่างนี้
- ทรัพย์สินรอขายธนาคารอาคารสงเคราะห์
- ทรัพย์สินรอขายธนาคารออมสิน
- ทรัพย์สินรอขายธนาคารกรุงไทย
เปิดจองบ้านประชารัฐ ใครมีสิทธิ์?
ประชาชนทั่วไปที่มีสิทธิ์จองบ้านประชารัฐ จะต้องมีคุณสมบัติคือ
- อายุ 20 ปีขึ้นไป เมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาชำระเงินกู้ไม่เกิน 65 ปี
- ซื้อบ้าน เช่าซื้อ หรือสร้างใหม่ ราคาหลังละไม่เกิน 1,500,000 บาท
- ต้องเป็นบ้านหลังแรกเท่านั้น ผู้ขอสินเชื่อต้องไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านมาก่อน ยกเว้นการซ่อมแซมและ/หรือต่อเติมที่อยู่อาศัย
- ไม่มีชื่อเป็นหรือเคยเป็น "เจ้าบ้าน" ในทะเบียนบ้านที่นำมาแสดงเป็นหลักฐานการยื่นกู้กับธนาคาร และต้องมีชื่อเป็น "ผู้อยู่อาศัย" ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 3 ปี ยกเว้น มีชื่อเป็นเจ้าบ้านแต่พิสูจน์ได้ว่าไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยตามทะเบียนบ้านนั้น
* สำหรับคนที่มีบ้านแล้ว สามารถขอสินเชื่อเพื่อซ่อมแซมและตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ ในวงเงินกู้ไม่เกิน 5 แสนบาท คิดดอกเบี้ยเท่ากับกรณีที่กู้บ้านไม่เกิน 7 แสนบาท ทั้งนี้มูลค่ารวมของที่ดินและที่อยู่อาศัยที่จะขอกู้เพื่อซ่อมแซมหรือต่อเติมต้องไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
เงื่อนไขพิเศษของผู้จองบ้านประชารัฐ ลด แลก แจก แถมเพียบ !
- ไม่จำกัดรายได้ผู้ขอสินเชื่อ เงินเดือนน้อยก็จับจองได้ ครอบคลุมข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ บุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมาก่อน
- ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยจะลดราคาบ้านให้อีกอย่างน้อย 2% จากราคาขายสุทธิ ทำให้วงเงินขอสินเชื่อกู้ซื้อบ้านลดลง
- ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจำนอง
- ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี
- ดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ ระยะเวลาผ่อนสูงสุดถึง 30 ปี
- ธนาคารผ่อนปรนสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) เพิ่มเป็นสูงสุดไม่เกิน 50% ของรายได้สุทธิต่อเดือนกรณีลูกค้ารายย่อย จากเดิม 33%
สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยบ้านประชารัฐ
โครงการบ้านประชารัฐจะแบ่งวงเงินกู้ออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. วงเงินกู้ต่ำกว่า 700,000 บาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยดังนี้
- ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0%
- ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2%
- ปีที่ 4-6 ดอกเบี้ย 5%
- ปีที่ 7 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยลอยตัว
* กรณีปีที่ 7 เป็นต้นไป ธอส. คิดอัตราดอกเบี้ย MRR–0.75% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR 6.75%)
* กรณีปีที่ 7 เป็นต้นไป ออมสิน คิดอัตราดอกเบี้ย MRR – 1.475% (ปัจจุบัน MRR 7.475%)
2. วงเงินกู้ 700,001-1,500,000 บาท
- ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3%
- ปีที่ 4-6 ดอกเบี้ย 5%
- ปีที่ 7 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยลอยตัว
* กรณีปีที่ 7 เป็นต้นไป ธอส. คิดอัตราดอกเบี้ย MRR–0.75% ต่อปี สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป และ MRR–1% ต่อปี สำหรับลูกค้าสวัสดิการ
* กรณีปีที่ 7 เป็นต้นไป ออมสิน คิดอัตราดอกเบี้ย MRR –1.475% สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป และ MRR -1.725% ต่อปี สำหรับลูกค้าสวัสดิการ)
บ้านประชารัฐ ถ้าจับจองต้องผ่อนเดือนละเท่าไร?
กรณีกู้เงินซื้อบ้านราคา 700,000 บาท ตามอัตราดอกเบี้ยข้างต้น เมื่อคิดคำนวณออกมาแล้ว ในปีที่ 1-3 จะต้องผ่อนเดือนละ 3,000 บาท ส่วนปีที่ 4-6 จะต้องผ่อนเดือนละ 4,000 บาท และหลังจากปีที่ 7 เป็นต้นไปซึ่งคิดดอกเบี้ยลอยตัว จะต้องผ่อนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละประมาณ 4,500 บาท
แต่หากกู้ซื้อบ้านในราคา 1,500,000 บาท ตามอัตราดอกเบี้ยข้างต้น เมื่อคิดคำนวณออกมาแล้ว ในปีที่ 1-3 จะต้องผ่อนเดือนละ 7,200 บาท ส่วนปีที่ 4-6 จะต้องผ่อนเดือนละ 8,600 บาท และหลังจากปีที่ 7 เป็นต้นไปซึ่งคิดดอกเบี้ยลอยตัว ผู้กู้รายย่อยจะต้องผ่อนเดือนละประมาณ 9,100 บาท แต่หากกู้สวัสดิการจะผ่อนเดือนละประมาณ 8,900 บาท
ระยะเวลาผ่อน วงเงินไม่เกิน 7 แสนบาท
วงเงิน 7 แสน-1.5 ล้านบาท
ปีที่ 1-3
ผ่อนเดือนละประมาณ 3,000 บาท
ผ่อนเดือนละประมาณ 7,200 บาท
ปีที่ 4-6
ผ่อนเดือนละประมาณ 4,000 บาท
ผ่อนเดือนละประมาณ 8,600 บาท
ปีที่ 7-30
ผ่อนเดือนละประมาณ 4,500 บาท
กู้รายย่อย : ผ่อนเดือนละประมาณ 9,100 บาท
กู้สวัสดิการ : ผ่อนเดือนละประมาณ 8,900 บาท
กรณีกู้ซ่อมแซม หรือต่อเติม วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท เริ่มต้นผ่อนชำระ 2,100 บาท/เดือน
จองบ้านประชารัฐได้ที่ไหน
สามารถติดต่อยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป ที่ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ คือ
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ghbank.co.th หรือโทร 0-2645-9000
- ธนาคารออมสิน gsb.or.th หรือโทรสายด่วน 1115
เอกสารประกอบการขอสินเชื่อ
บ้านประชารัฐ ธนาคารออมสิน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้และคู่สมรส
- สำเนาใบสำคัญสมรส หรือสำเนาใบแสดงการหย่า หรือสำเนาใบมรณบัตรของผู้สมรส
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขอกู้และคู่สมรส
โปรดสอบถามเอกสารอื่น ๆ เพิ่มเติมที่ธนาคารออมสิน
บ้านประชารัฐ ธนาคารอาคารสงเคราะห์
- บัตรประจำประชาชน/ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
- ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
- สำเนาทะเบียนสมรส/ใบหย่า/ใบมรณบัตร/ใบแจ้งความแยกกันอยู่
- สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนคู่สมรส (ถ้ามี)
- ใบรับรองเงินเดือน/หนังสือผ่านสิทธิสวัสดิการ
-สลิปเงินเดือนหรือหลักฐานการรับเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน
-สำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน (กรณีอาชีพประจำ) และ 12 เดือน (กรณีอาชีพอิสระ)/หลักฐานแสดงฐานะการเงินอื่น ๆ (พร้อมแสดงเอกสารฉบับจริง)
- สำเนาทะเบียนการค้า/ทะเบียนบริษัท/ห้างหุ้นส่วนฯ
- หลักฐานการเสียภาษีเงินได้
- รูปถ่ายกิจการ
- สำเนาใบประกอบวิชาชีพ
เอกสารหลักประกันเงินกู้
- สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย/สัญญาวางมัดจำ/สัญญาเช่าซื้อการเคหะ
- สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับกรมที่ดิน
- สำเนาโฉนดที่ดิน/น.ส.3ก./หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อช.2) ทุกหน้า กรณีซื้อสินทรัพย์มือสองต้องรับรองสำเนาโดยเจ้าพนักงานที่ดิน
ทั้งนี้ระยะโครงการบ้านประชารัฐกำหนดระยะเวลาดำเนินงานไว้ไม่ เกิน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป และหากวงเงินเต็มแล้ว ก็ต้องจับตาดูว่าจะมีการขยายวงเงินเพิ่มเติมอีกหรือไม่ โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของโครงการประชารัฐจะมีประชาชนได้รับผลประโยชน์ราว 40,000-50,000 ราย
ที่มา สยามรัฐ วันที่ 25 มีนาคม 2559