จดหมายถึง นายกรัฐมนตรี+รมว.กระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 52
เรื่อง อย่าทอดทิ้งปัญหาฐานรากการศึกษาไทย
รัฐบาลมีนโยบายปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างต่อเนื่องและจริงจัง และเป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์ปัญหาของชาติที่ผ่านมา ปัญหาเหล่านั้นล้วนเป็นสาเหตุของการด้อยคุณภาพการศึกษา ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและเกิดผลเป็นรูปธรรม ต้องดำเนินการแก้ไขด่วน ดังนี้
1.ด้านระดับสติปัญญาเด็กไทย มีผลการวิจัยระบุชัดเจนว่าระดับสติปัญญาเด็กไทยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 99 (ต่ำกว่า 100 หรือโง่) อันมีสาเหตุมาจากมีเด็กในวัยเรียนร้อยละ 30-40 ไม่ได้ทานอาหารเช้ามาเรียน ถึงครูจะสอนดีอย่างไร สื่อดีขนาดไหน แต่สมองเด็กไม่พร้อมรับรู้ก็ไม่เกิดประโยชน์ ประเทศไทยเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของโลกเด็กไทยทุกคนควรได้ทานอาหารครบสามมื้อ
2.ด้านเด็กไทยท้องในวัยเรียนมีอัตราสูง มีผลการวิจัยระบุชัดเจนว่าเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ท้องในวัยเรียนปีละ 200,000 คน เป็นที่1 ของทวีปเอเชียและเป็นที่ 2 ของโลกรองจากประเทศแอฟริกา เป็นปีที่ 2 แล้ว และผลการวิจัยยังระบุต่อไปอีกว่าเด็กที่เกิดจากแม่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีจะมีระดับสติปัญญาต่ำทุกคน รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพสมองของเด็กและเยาวชนอย่างจริงจัง
3.ด้านลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายชัดเจน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนครูซึ่งใช้ DLTV ตามพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กว่า 15,369 แห่ง ควรได้รับการนิเทศติดตามแบบถึงห้องเรียนอย่างจริงจังมากกว่าเน้นเอกสาร เพื่อนำสภาพจริงที่เกิดขึ้นมาแก้ไขตรงประเด็น และโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ DLIT ควรมีการขับเคลื่อนให้โรงเรียนทุกแห่งได้รับรู้และนำไปใช้อย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพโดยเร็วที่สุดในปีการศึกษา 2559
4.ด้านการจัดสรรคืนอัตราครู ตามที่ (คปร.) มีนโยบายตัดอัตราครูในโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 250 คนโดยไม่จัดสรรคืนตำแหน่งให้ถ้ามีครูเกษียณ เป็นนโยบายที่สร้างความเหลื่อมล้ำและบั่นทอนกำลังใจครู ผู้บริหารและผู้ปกครองในพื้นที่เป็นอย่างมาก ควรจัดกลุ่มโรงเรียนตามจำนวนนักเรียนว่าถ้ามีนักเรียน 50 คน 100 คน 150 คน 200 คน 250 คน ควรมีครูกี่คน ไม่ใช่ใช้เกณฑ์เดียวกันทุกขนาดทั้งประเทศ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
นายครรชิต มนูญผล