ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมข่าวการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

"ดาว์พงษ์" ลั่นปลดล็อก!! ปฏิรูปการศึกษาไทย-1ปีครึ่งเห็นผล


ข่าวการศึกษา 23 ก.พ. 2559 เวลา 10:15 น. เปิดอ่าน : 12,289 ครั้ง
Advertisement


Advertisement

"ดาว์พงษ์" ลั่นปลดล็อก!! ปฏิรูปการศึกษาไทย-1ปีครึ่งเห็นผล

'ดาว์พงษ์' ลั่นปลดล็อก !! ปฏิรูปการศึกษาไทย - 1 ปีครึ่งเห็นผล : โดย...เกศกาญจน์ บุญเพ็ญ

เป็นเวลากว่า 5 เดือนที่ “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ บริหารงานในตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” ได้เผย “ยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ” ที่ต้องเร่งเดินเครื่องเพื่อแก้ปัญหา ยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยในช่วงเวลา 1 ปี 6 เดือนต่อจากนี้ อย่างชัดเจน หนักแน่น สไตล์ทหาร ผ่านรายการ “ไทม์ไลน์” โดย “สุทธิชัย หยุ่น”



เคาะ33ปัญหาเดินหน้า65โครงการ


“เวลานี้สรุปได้ว่ามี 6 เรื่องหลักที่ต้องแก้ไขคือ 1.หลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ 2.การผลิตและพัฒนาครู 3.การทดสอบการประเมินการประกันคุณภาพและการพัฒนามาตรฐานการศึกษา 4.ผลิต พัฒนากำลังคนและงานวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการของการพัฒนาประเทศไทย 5.ไอซีทีเพื่อการศึกษา และ 6.การบริหารจัดการทั้งการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการและการกระจายอำนาจ ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้คิดเองแต่ได้มาจากคนที่รักการศึกษาได้เสนอแนะส่งข้อมูลมาให้

ใน 6 เรื่องนี้พบว่ามีปัญหาที่ซ่อนอยู่ถึง 33 เรื่อง ก็นำมาวางแผนจัดเรียงใหม่เกิดเป็นแผนงานถึง 65 โครงการ ในจำนวนนี้ 16 โครงการได้เดินหน้าและเริ่มเห็นผลสัมฤทธิ์บางส่วนแล้ว ส่วนอีก 37 โครงการกำลังทยอยดำเนินการ สุดท้ายอีก 12 โครงการจะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ประมาณ 1 ปีครึ่ง ถึงแม้จะทำได้ไม่สมบูรณ์ 100% แต่ทุกโครงการจะต้องเกิดการขับเคลื่อน อย่างไรก็ตามทุกโครงการนำหลักอริยสัจ 4 มาเป็นหลักคิด เพื่อให้รู้ปัญหา สาเหตุของปัญหา กำหนดแนวทางทำงาน และวิธีการที่จะใช้แก้ปัญหาในทุกกระบวนการได้ผ่านการพูดคุยวางแผนร่วมกับข้าราชการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง”



ลดเวลาเรียนพบเด็กมีความสุข


จากปัญหาเด็กเรียนมากเกินไป ไม่มีความสุข ผลสัมฤทธิ์ต่ำและกวดวิชา เกิดเป็นนโยบายแรก “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” พล.อ.ดาว์พงษ์ ชี้แจงว่า นโยบายนี้ถ้าจะให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดียังมีเรื่องต้องทำอีกมาก เบื้องต้นที่ได้นำร่องใน 3,800 โรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 กำหนดให้ช่วงเวลา 14.00 น.เป็นต้นไป เด็กได้มีโอกาสทำกิจกรรมที่สนใจและเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยตามหลัก 4H คือ การพัฒนาสมอง การคิดวิเคราะห์ (Head) พัฒนาจิตใจ คุณธรรมจริยธรรม (Heart) ทักษะฝีมือ (Hand) และสุขภาพ (Health) และกระทรวงมีเมนูมอบให้โรงเรียนนำไปเลือกใช้ 300 เมนู ภาพรวมพบว่าเด็กมีความสุขมาก ส่วนครูช่วงแรกก็มีวิตกกังวลเพราะต้องปรับบทบาทจากครูผู้สอนมาเป็นโค้ชคอยให้คำแนะนำ ซึ่งเราได้จัดทีมสมาร์ทเทรนเนอร์ลงไปช่วยอบรมและจัดทำคู่มือการสอนให้ เวลานี้ครูจึงเริ่มปรับตัวได้ที่สำคัญนโยบายนี้ห้ามไม่ให้ครูใช้เวลาดังกล่าวสอนพิเศษโดยเรียกเก็บเงินในโรงเรียนเด็ดขาด

สำหรับผู้ปกครอง ยังค่อนข้างกังวลว่าเมื่อลดเวลาเรียนลูกจะมีความรู้ไม่เข้มข้นพอและไปสอบสู้เด็กคนอื่นๆ ไม่ได้ ซึ่งได้ทำความเข้าใจกับสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะผู้ออกข้อสอบแล้วว่าการเรียนการสอนยังยึดตาม 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ เพราะฉะนั้นการออกข้อสอบจะต้องสอดคล้องตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตรงนี้ขอให้ผู้ปกครองมั่นใจได้



ยกเครื่องระบบประเมินศึกษา


ล่าสุดที่เป็นปัญหาคือการประกาศผลสอบ 9 วิชาสามัญของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งต้องนำไปยื่นในการเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยระบบเคลียริ่งเฮ้าส์ ปรากฏว่าคะแนนที่ออกมานั้นต่ำกว่าครึ่งของคะแนนเต็ม มีเพียงเฉพาะวิชาภาษาไทยที่เกินครึ่ง แต่จากที่พูดคุยกับสทศ.ก็พบว่ากระบวนการออกข้อสอบต่างๆ อยู่ในกรอบของหลักสูตร เพียงแต่โจทย์ที่ออกค่อนข้างลึกเพราะต้องการให้เด็กได้พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์

เวลานี้มีความเข้าใจตรงกันแล้วว่า ถ้าสทศ.ยังออกข้อสอบแบบนี้ จะทำให้การปฏิรูปการศึกษาหลงทาง คิดไปว่าหลักสูตรแย่ ครูสอนไม่ดี ซึ่งสทศ.จะต้องปรับตัวใหม่คือต้องทำการทดสอบข้อสอบต่างๆ ก่อนนำไปใช้จริง และให้รายงานผลมาให้กระทรวงทราบ โดยจำแนกรายวิชาและขนาดโรงเรียน รวมทั้งเมื่อเสร็จสิ้นการสอบจะต้องเปิดเผยข้อสอบและเฉลยด้วย คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีการศึกษา 2559 เบื้องต้นเพื่อให้เด็กได้ฝึกการคิดวิเคราะห์ สทศ.ได้เพิ่มข้อสอบอัตนัยของการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) วิชาภาษาไทย ระดับ ป.6 สัดส่วน 20% ด้วย


ที่มาภาพจาก คม ชัด ลึก
 

ชี้เด็ก80%กวดวิชาเข้ามหาวิทยาลัย


“เมื่อสทศ.เปิดข้อสอบเด็กก็จะรู้ว่าควรเตรียมตัวอ่านหนังสืออย่างไรบ้าง ครูรู้ว่าต้องสอนและพัฒนาเด็กอย่างไร ตรงนี้จะทำให้ปัญหาการกวดวิชาค่อยๆลดลงและหายไปตามธรรมชาติ กระทั่งครูที่สอนพิเศษในโรงเรียนก็จะค่อยๆลดลง ผมไม่ได้ต่อต้านการกวดวิชา เพียงแต่ในอดีตนั้นการกวดวิชาก็เพื่อรู้เฉพาะเรื่อง แต่ทุกวันนี้ผมกล้าพูดได้ว่ามากกว่า 80% ที่มากวดวิชาไม่ใช่เพราะครูสอนไม่ดี แต่กวดวิชาไปเพื่อสอบเก็บคะแนนใช้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เช่น คะแนนความถนัดทั่วไป หรือ แกต ความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ หรือ แพต เป็นต้น ตรงนี้ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่ผ่านมาเคยมีผู้ปกครองเสนอให้ยกเลิกการสอบตรงด้วย แต่เรื่องนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยอมรับว่ารู้สึกหนักใจและเป็นกังวล คงต้องหารือกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม สำคัญคือระบบการเข้าเรียนอุดมศึกษาไม่เป็นภาระ ไม่สร้างความเหลื่อมล้ำ และไม่ปิดกั้นศักยภาพเด็ก”

เช่นเดียวกับระบบรับนักเรียน สพฐ.ที่ผ่านมามีการเรียกรับ “แป๊ะเจี๊ยะ” เพื่อแลกที่นั่งเด็ก พล.อ.ดาว์พงษ์ ย้ำชัดว่า ที่ผ่านมาถูกถามถึงปัญหาการเรียกรับแป๊ะเจี๊ยะ ซึ่งให้นโยบายชัดเจนว่าตลอดกระบวนการรับนักเรียนห้ามไม่ให้มีการเรียกรับเงินหรือรับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ อาทิ บุตรผู้ทำคุณประโยชน์ข้อตกลงในการจัดตั้ง ฯลฯ ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องประกาศแนวทางวิธีการให้ชัดเจน ทำทุกอย่างโปร่งใสและตอบคำถามกับทุกคนได้ว่ารับเด็กในกลุ่มเงื่อนไขเหล่านี้เพราะเหตุผลอะไร



ควบรวมรัฐ-เอกชนพัฒนาอาชีวะไทย


ส่วนการผลิตและพัฒนากำลังคน โดยเฉพาะระดับอาชีวศึกษานั้น เรื่องนี้ต้องให้เครดิต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญและผลักดันมาตลอด กระทรวงศึกษาธิการที่ผ่านมาก็ทำงานเข้มแข็ง ผมเพียงแต่เข้ามาสานต่อ แต่เวลานี้ภาพลักษณ์และค่านิยมต่อการเรียนสายอาชีพดีขึ้นเห็นได้จากจำนวนผู้เรียนอาชีวะในปีการศึกษา 2558 เพิ่มขึ้นในรอบ 10 ปี ทั้งนี้ ระบบทวิภาคีที่รัฐและเอกชนร่วมกันจัดการศึกษามีส่วนช่วยอย่างมาก เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย คือ เด็กมีประสบการณ์ทำงานในสถานประกอบการจริง ภาคเอกชนก็ได้คนทำงานที่มีศักยภาพตามต้องการ ส่วนค่านิยมของคนไทยอยากให้ลูกได้รับใบปริญญา ปัจจุบันอาชีวะก็มีการจัดหลักสูตรปริญญาตรีสายปฏิบัติรองรับ

“ปัญหาของอาชีวะเวลานี้ยังขาดตัวเลขความต้องการแต่ละสาขาที่แท้จริง จึงไม่สามารถวางแผนผลิต แต่เวลานี้คณะทำงานด้านการยกระดับวิชาชีพอาชีวศึกษา ซึ่งร่วมมือกันระหว่างรัฐและเอกชนตามนโยบายประชารัฐ ได้กำหนดแผนงานเร่งด่วน ซึ่งในนั้นมีเรื่องการจัดทำข้อมูลความต้องการกำลังคนด้วย รวมถึงการปรับภาพลักษณ์ การพัฒนาอาชีวะสู่ความเป็นเลิศเฉพาะด้าน นอกจากนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้รวมการบริหารจัดการอาชีวศึกษาภาครัฐและภาคเอกชนมาอยู่ภายใต้กำกับของสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อผลักดันให้การขับเคลื่อนอาชีวะของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน”



ศักยภาพเด็กไทยไม่ด้อยในเวทีสากล


ส่วนการเตรียมพร้อมด้านทักษะฝีมือเด็กอาชีวะให้สอดคล้องมาตรฐานอาเซียน ขณะนี้สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพได้จัดทำมาตรฐานมากกว่า 200 สาขาแล้ว ซึ่งถ้าเด็กอาชีวะสามารถผ่านการรับรองมาตรฐานแต่ละด้านก็จะเป็นตัวการันตีฝีมือและมาตรฐานค่าตอบแทนด้วย ขณะที่ศักยภาพเด็กไทยเวทีอาเซียนในภาพรวมถ้าเป็นการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เชื่อว่าเด็กไทยสามารถสู้ได้ จะมีปัญหาคือทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ในอาเซียนไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 5 เป็นรองจากสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ บรูไน และมาเลเซีย ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการกำลังเตรียมการยกระดับคุณภาพภาษาอังกฤษ อาทิ โครงการอบรมครูที่มีทักษะภาษาอังกฤษ 3,000 คนเพื่อเป็นแกนนำในการถ่ายทอดเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษไปสู่ครูคนอื่นๆ ไปพัฒนาการสอนภาษาอังกฤษแก่เด็กต่อไป

"กระทรวงศึกษาธิการเป็นองคาพยพใหญ่ การทำงานถ้าไม่กำหนดทิศทางให้ชัดเจน มั่นคง ไม่สร้างการยอมรับจะถูกต่อต้านแต่ต้น ผมไม่ใช่นักการศึกษา เป็นทหารมาจากที่อื่น แต่ผมกล้าคิดนอกกรอบและไม่มีวาระซ่อนเร้น ดังนั้นหลักการทำงานจึงต้องทำให้ข้าราชการกระทรวงเชื่อมั่นวางใจพร้อมร่วมมือทำงานไปด้วยกัน งานต่างๆ ที่ผมทำไม่ได้หวังให้ใครจดจำอะไรเกี่ยวกับผม คิดแค่ว่าจะทำที่ทำอยู่ให้ดี ทุ่มเทเต็มที่ โดยเฉพาะการสร้างให้คนไทย เด็กไทยรุ่นใหม่เป็นคนดีมีวินัย ที่รู้จักใช้เหตุและผล คิดไตร่ตรอง ไม่ใช้แต่ความรู้สึก โดยใช้การศึกษาเป็นกลไกทำให้เกิดขึ้นซึ่งอาจไม่เห็นในทันที แต่ในระยะยาวอยากให้เกิดภาพเหล่านี้ ถือเป็นเป้าหมายหนึ่งของการปฏิรูปคน เพราะฉะนั้นจะติหรือชมอะไรก็ได้ แต่ถ้าผมอยากจะขอ มีเพียงอย่างเดียวคือ ผมขอกำลังใจ” พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวสรุปปิดท้าย 


"ดาว์พงษ์" ลั่นปลดล็อก!! ปฏิรูปการศึกษาไทย-1ปีครึ่งเห็นผลดาว์พงษ์ลั่นปลดล็อก!!ปฏิรูปการศึกษาไทย-1ปีครึ่งเห็นผล

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

:: เรื่องปักหมุด ::

แนวทางการดำเนินการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ

แนวทางการดำเนินการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ

เปิดอ่าน 3,408 ☕ 17 ต.ค. 2567

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
เปิดอ่าน 66 ☕ 22 พ.ย. 2567

สมศ.ขานรับนโยบาย "บิ๊กอุ้ม"  ภายใน 5 ปี ประเมินสถานศึกษาครบกว่า 5.8 หมื่นแห่ง
สมศ.ขานรับนโยบาย "บิ๊กอุ้ม" ภายใน 5 ปี ประเมินสถานศึกษาครบกว่า 5.8 หมื่นแห่ง
เปิดอ่าน 518 ☕ 19 พ.ย. 2567

คุรุสภาเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. ... และ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ พ.ศ. ... ระหว่างวันที่ 15 - 30 พฤศจิกายน 2567
คุรุสภาเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. ... และ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ พ.ศ. ... ระหว่างวันที่ 15 - 30 พฤศจิกายน 2567
เปิดอ่าน 686 ☕ 15 พ.ย. 2567

"สุเทพ" แนะศึกษาธิการจังหวัดสร้างศรัทธาในการทำงานพร้อมร่วมมือพันธมิตรในพื้นที่ขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา
"สุเทพ" แนะศึกษาธิการจังหวัดสร้างศรัทธาในการทำงานพร้อมร่วมมือพันธมิตรในพื้นที่ขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา
เปิดอ่าน 787 ☕ 15 พ.ย. 2567

ปฏิทินการบริหารงานบุคคล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568
ปฏิทินการบริหารงานบุคคล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568
เปิดอ่าน 3,388 ☕ 13 พ.ย. 2567

ประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกระดับชาติเพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ประจำปี 2567
ประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกระดับชาติเพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ประจำปี 2567
เปิดอ่าน 2,065 ☕ 13 พ.ย. 2567

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

วิธีดูแลริมฝีปากให้สวยแดงเป็นระเรื่อ แลดูสุขภาพดี
วิธีดูแลริมฝีปากให้สวยแดงเป็นระเรื่อ แลดูสุขภาพดี
เปิดอ่าน 17,461 ครั้ง

ท็อป 10 ยอดศิลปินของตลาดโลก
ท็อป 10 ยอดศิลปินของตลาดโลก
เปิดอ่าน 13,228 ครั้ง

ระบบประกันคุณภาพทางการศึกษา ถึงเวลาทบทวนวิธีการแล้วหรือยัง?
ระบบประกันคุณภาพทางการศึกษา ถึงเวลาทบทวนวิธีการแล้วหรือยัง?
เปิดอ่าน 9,084 ครั้ง

ช่วยครูสอนเลขให้เด็กสนุก ด้วยสื่อดิจิตอลคณิตศาสตร์ระดับประถม
ช่วยครูสอนเลขให้เด็กสนุก ด้วยสื่อดิจิตอลคณิตศาสตร์ระดับประถม
เปิดอ่าน 27,279 ครั้ง

วันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน
วันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน
เปิดอ่าน 15,904 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ