พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน ก.ค.ศ.) เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการคัดเลือกและรับครู เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 ณ ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงศึกษาธิการ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้นำเสนอให้รับทราบถึงข้อดี ข้อเสีย ของการจัดสอบคัดเลือกข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้กระจายอำนาจและมอบให้คณะอนุกรรมการช้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา (อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา) เป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขัน
แต่ในทางปฏิบัติ แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาไม่ได้ออกข้อสอบเอง เพราะมีการกำหนดให้ไปจ้างสถาบันอุดมศึกษาออกข้อสอบและดำเนินการจัดสอบให้ ซึ่งพบปัญหาหลายเรื่อง เช่น งบประมาณในการจัดสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยบางเขตฯ สูงมากถึงปีละประมาณ 80 ล้านบาท รวมทั้งมาตรฐานของข้อสอบมีความแตกต่างกันตามที่สถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งออกข้อสอบ หลายครั้งมีผู้ผ่านเกณฑ์การสอบเพื่อขึ้นบัญชีน้อยมาก ไม่เป็นไปตามเป้าหมายตำแหน่งว่างที่มีอยู่ รวมทั้งพบปัญหาในการควบคุมการทุจริตในการสอบ
ดังนั้น สพฐ.จึงได้เสนอให้มีการปรับปรุงกระบวนการจัดสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย จากเดิมที่ให้แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการเอง มาเป็นให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติฯ (สทศ.) ดำเนินการตั้งแต่ออกข้อสอบภาค ก และ ข ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณลงได้มาก อีกทั้งผู้เข้าสอบยังสามารถเก็บคะแนนไว้ได้ถึง 2 ปี และเมื่อเขตพื้นที่การศึกษาใดมีประกาศรับสมัครในตำแหน่งว่าง ผู้สมัครสอบก็นำคะแนนนั้นไปยื่นสมัครเขตพื้นที่การศึกษานั้นๆ ได้โดยตรง ซึ่งเขตพื้นที่การศึกษาจะเป็นผู้สัมภาษณ์ภาค ค เพียงขั้นตอนเดียว โดยอาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสมัครเพิ่มในการไปสอบภาค ค อีก
รูปแบบการจัดสอบนี้ เป็นลักษณะเดียวกับการสอบเข้ารับราชการของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งดำเนินการสอบภาค ก และ ภาค ข โดยส่วนกลาง แล้วหน่วยงานราชการที่ต้องการก็เรียกไปสัมภาษณ์ ภาค ค เพราะฉะนั้นแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาจะเปิดรับครูเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดรับพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวยังเป็นเพียงแนวคิด ที่ประชุมจึงได้มอบให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ไปดูข้อกฎหมาย และอาจจัดประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นก่อน หากทุกฝ่ายเห็นชอบตามที่ สพฐ.เสนอ ก็จะพิจารณาถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาฯ โดยเฉพาะมาตรา 47 และ 50 ที่กำหนดให้เขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการจัดสอบนั้น หมายความว่าอย่างไร หมายถึงจัดสถานที่ หรือจัดสอบ และรวมถึงออกข้อสอบด้วยหรือไม่ หากรวมทั้งหมดก็ต้องปรับแก้กฎหมาย
การปรับปรุงรูปแบบการสอบคัดเลือกครูโดยใช้ข้อสอบกลาง นอกจากจะช่วยประหยัดงบประมาณจำนวนมากได้แล้ว ยังสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานของข้อสอบและการจัดสอบด้วย ที่สำคัญสามารถบอกได้ด้วยว่ามีบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยใดสอบได้บ้าง และได้คะแนนเท่าไร ซึ่งจะทำให้แต่ละมหาวิทยาลัยได้กลับไปพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากขึ้น
ที่มา ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2559