ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมบทความการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

เดินหน้า ปฏิรูปการศึกษา 2559


บทความการศึกษา 28 ม.ค. 2559 เวลา 09:23 น. เปิดอ่าน : 8,588 ครั้ง
เดินหน้า ปฏิรูปการศึกษา 2559

Advertisement

โดย เพชร เหมือนพันธุ์

พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฟันธงนำนโยบายการปฏิรูปการศึกษาเรื่องการ "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้" Kick off ออกไปเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 เพื่อขับเคลื่อนรัฐนาวาการศึกษาไทยให้ก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันในประชาคมอาเซียนและประชาคมโลกด้วยนโยบายสั้นๆ ว่า "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้" ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว เข้าถึงภายในรั้วโรงเรียน เข้าใกล้ตัวนักเรียนมากที่สุดตั้งแต่มีนโยบายปฏิรูปการศึกษามาในรอบ 20 ปี นโยบายนี้หากมีการขับเคลื่อนจัดการที่ดีจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

พลังแรงสั่นสะเทือนนโยบาย "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้" เหมือนแผ่นดินไหวเล็กๆ แต่มีพลังอำนาจขับเคลื่อนสูง สั่นสะเทือนไปถึงสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของนักเรียน ของครู และผู้ปกครอง เป็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร พลังอำนาจคลื่นสั่นสะเทือนจะส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงตามมา และจะมีอาฟเตอร์ช็อก (After Shock) ตามมาอีกหลายครั้ง จะเกิดปฏิกิริยาโต้กลับ (Reaction) จากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือครู นักเรียน ผู้ปกครอง และสังคม เพราะนโยบายนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรของโรงเรียน และจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปถึงโครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างเวลาเรียน และการวัดผลการเรียน

ผลกระทบจากนโยบายนี้คือสไตล์การสอนของครูจะถูกปรับเปลี่ยนไปให้เหมาะสมกับธรรมชาติของรายวิชา เด็กลดเวลานั่งเรียนในห้องลง ครูลดเวลายืนอธิบายบรรยาย (Lecture) หน้าชั้นตลอดวันลง "กิจกรรมการเพิ่มเวลารู้" จะเป็นแรงขับให้ทุกสถาบันการศึกษาแสวงหารูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทและทรัพยากรขององค์กรตน

การเปลี่ยนแปลงจะยังไม่หยุดนิ่งจนกว่าพลังอำนาจของนโยบายจะนิ่ง เมื่อพลังแรงขับเคลื่อนสงบลงก็จะตกผลึก กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรที่จะเกิดขึ้น

ในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือฟินแลนด์ เขาจะจัดกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้สัมผัสกับโลกเสมือนจริง ได้เรียนรู้จากการกระทำ เริ่มจากกิจกรรมการฝึกนิสัย กิริยามารยาท การสร้างความมีระเบียบ ความมีวินัย ความรับผิดชอบ ความมีน้ำใจนักกีฬา ผ่านกิจกรรมชั้นเรียน กิจกรรมหน้าเสาธง กิจกรรมความรับผิดชอบการรักษาความสะอาดห้องเรียน บริเวณโรงเรียน กิจกรรมจิตสาธารณะ กิจกรรมสภานักเรียน กิจกรรมคณะสีนักเรียน ฯลฯ ในกิจกรรมชมรมนักเรียนที่เขาจัดจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ประเภทที่ 1 เป็นกิจกรรมชุมนุมที่ใช้กำลัง เช่น ชุมนุมกีฬาประเภทต่างๆ เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเกตบอล เทนนิส ฯลฯ ดนตรี ศิลปะ และประเภทที่ 2 ชุมนุมเชิงวิชาการ เช่น ชุมนุมภาษาไทย ชุมนุมภาษาอังกฤษ ชุมนุมภาษาต่างประเทศ ชุมนุมวิทยาศาสตร์ ชุมนุมคณิตศาสตร์ ชุมนุมบรรณารักษ์ ชุมนุมเกษตรกร ฯลฯ และกิจกรรมฝึกประสบการณ์ เช่น กิจกรรมออกฝึกงานหรือออกฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการ นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จะมีการออกไปสัมผัสกับสถานประกอบการจริง ได้ไปฝึกงานในสถานประกอบการ

ต่างประเทศให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเด็กที่เรียนอยู่ในระดับชั้น ม.2 เพราะเด็กในวัยนี้เป็นวัยที่มีพลังมาก เริ่มแสวงหาประสบการณ์ อยากรู้อยากเห็นอยากเป็น เป็นวัยที่ก้าวเข้าสู่วัยรุ่นเต็มที่ หากทางโรงเรียนไม่จัดให้ เด็กจะก้าวร้าว ก่อกวน เกเร สร้างปัญหาให้แก่โรงเรียน ในประเทศไทยเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นจะถูกโรงเรียนละเลยไม่ให้ความสนใจ เพราะทุกโรงเรียนต่างหันไปสนใจเด็กนักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทุกโรงเรียนต่างผลักดันให้เด็กมัธยมศึกษาตอนปลายไปสอบเข้าเรียนในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยที่ดีให้ได้ เด็กมัธยมศึกษาตอนต้นจึงถูกปล่อยทิ้ง ต่างจากโรงเรียนมัธยมในต่างประเทศ

ปรากฏการณ์จากคลื่นกระแสพลังผลักดันลูกแรกที่จะเกิดกับครู นักเรียน ผู้ปกครองคือ อาการแตกตื่นตระหนกโกลาหล (Chaos) ต่อต้าน หรือแรงฝืนแรงขืนต่อนโยบาย จนกว่าพลังอำนาจของแรงสั่นสะเทือนของนโยบายจะหยุดนิ่ง หลังจากนั้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสงบ ปรับตัวลงได้ สิ่งใหม่ๆ จะเกิดขึ้นหรือจะอุบัติขึ้น ความเปลี่ยนแปลงจะตามมา

ผู้บริหารสถานศึกษาและครูทุกคนต้องปรับกระบวนทัศน์ใหม่ (Paradigm Shift) คำกล่าวอ้างที่ ว่า "เพิ่มเวลามั่วให้เด็ก เพิ่มภาระให้ครู เพิ่มเวลาเล่นให้เด็ก" หรือสารพัดข้ออ้างเพื่อป้องกันตนเอง (Self defense) หรือกลไกป้องกันตนเอง (Defense Mechanic) ให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และต้องสนองนโยบายให้ได้ รับมือกับอาฟเตอร์ช็อก (After Shock) ที่จะตามมาอีกหลายลูกให้ทัน

อาฟเตอร์ช็อกลูกที่ 1 คือการปฏิรูปหลักสูตรให้สอดคล้องกับเวลาเรียน บางวิชาจะถูกตัดออกไปเพราะเด็กสามารถเรียนรู้นอกห้องเรียนได้ เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้จากสังคมได้ หลายวิชาที่เป็นขยะ (Garbage) จะต้องตัดทิ้งไป เนื้อหาวิชาที่ซ้ำซ้อน เรียนแล้วเรียนอีกจะต้องตัดออก เช่น ในรายวิชาภาษาไทย มีเนื้อหาที่ว่าด้วยอักษร 3 หมู่ คือ อักษรสูง อักษรกลาง อักษรต่ำ เรียนมาตั้งแต่ชั้น ป.3-4 จนถึงระดับปริญญาตรี หรือในวิชาคณิตศาสตร์ที่เนื้อหาไม่ได้สัมพันธ์กับวิถีชีวิตจริง วิชาการเงินการบัญชีที่ทุกคนจำเป็นต้องสัมผัสต้องใช้กลับไม่มีสอนในโรงเรียน การรื้อโครงสร้างของหลักสูตรของเนื้อหาวิชาจะต้องสร้างคนไทย ครูไทย นักเรียนไทย ให้มีความรู้เรื่องเงิน เรื่องบัญชีรับ-จ่าย หลายวิชาในห้องเรียนในหลักสูตรไม่มีความจำเป็นในชีวิตของผู้เรียน ไม่แก้ปัญหาในอนาคต เป็นขยะในหลักสูตร ควรตัดทิ้ง เรียนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ที่ผ่านมาเจ้านายไปดูงานประเทศไหนมาเห็นของเขาดีก็เอามาจับยัดใส่เข้าไปในหลักสูตร เข้าไปในชั้นเรียน เด็กเรียนจนสำลัก เรียนจนเบลอแต่ไม่เกิดการเรียนรู้ เพราะเด็กไม่รับหรือรับไม่ได้ ก็เหมือนเทน้ำใส่ลงไปในแก้วที่น้ำมันเต็มจนล้นแก้วแล้ว

อาฟเตอร์ช็อกลูกที่ 2 คือพฤติกรรมการสอนของครูต้องเปลี่ยนแปลง การจัดทำแผนการสอน (Lesson Plan) ต้องเปลี่ยนแปลง ครูที่เก่งคือครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กสามารถรู้จักคิดแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง โสเครติส (Socrates) กล่าวว่า "ฉันไม่เคยสอนอะไรใครเลย ฉันเพียงแต่ทำให้เขาคิดเป็นเท่านั้น" สไตล์การสอนแบบเล็กเชอร์ (Lecture) ที่ครูยืนพูดอยู่หน้าห้องคนเดียวตลอดชั่วโมงตลอดวัน เป็นพระเอกอยู่คนเดียวนั้นก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้น้อยมาก ควรลด เลิก ครูต้องสอนให้เด็กรู้จักแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง กิจกรรมการเรียนการสอนผ่านโครงงานผ่านการได้ฝึกปฏิบัติจริงในโรงฝึกงานในสถานประกอบการ ผ่านการทำกิจกรรมชุมนุม จะสร้างให้เกิดการเผชิญกับปัญหาจริง เด็กได้ร่วมกันหาวิธีการแก้ปัญหา ได้การแก้ปัญหาร่วมกันเป็นทีม การเผชิญปัญหา ทำให้ต้องมีการคิดแก้ปัญหา คิดวางแผน คิดออกแบบกิจกรรมการสร้างปัญหา แก้ปัญหาขณะดำเนินการ ซึ่งเป็นขบวนการเรียนรู้ที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง การทำให้ผู้เรียนเกิดการคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น เลือกทางเลือกที่ดีที่เหมาะสมเป็น ความรู้ทุกวันนี้แขวนอยู่ในอากาศ แขวนอยู่ในคลื่นแม่เหล็กอยู่กับครู Google

ดังนั้น เมื่อฐานของความรู้เปลี่ยนจากครูไปอยู่ที่สื่อ Online แล้ว ครูก็มีหน้าที่จัดให้นักเรียนรู้จักใช้เครื่องมือแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น

อาฟเตอร์ช็อกลูกที่ 3 คือวัฒนธรรมการเรียนของเด็กจะเปลี่ยนไป เด็กจะมีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องมือสมัยใหม่แสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ครูหยุดสอนแบบเก่า หันไปสอนแบบทันสมัย นักเรียนหยุดเรียนในรูปแบบเดิม หันไปเรียนในรูปแบบใหม่ หยุดการจัดกิจกรรมเข้าร่วมชุมนุมแบบบังคับ หรือเกณฑ์เข้าร่วมกิจกรรม เปลี่ยนเป็นให้เด็กมีความหิวกระหาย มีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรม ใครไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมจะเป็นความเสียหาย จะไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อน เข้ากลุ่มไม่ได้ ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติอย่างสนุกสนานและมีความหมายด้วยตนเอง กิจกรรมนักเรียนจะเป็นเครื่องมือในการสร้างบุคลิกภาพของนักเรียน สร้างให้เป็นนักสู้ สร้างให้เป็นนักกีฬา สร้างให้เป็นนักเผชิญปัญหา

ในวันที่ดูฟุตบอลเยาวชนเอเชียไปโอลิมปิกที่ กาตาร์ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น นั่งดูไปก็เอาใจช่วยทีมชาติไทยไป หวังว่าทีมไทยน่าจะมีโอกาสชนะญี่ปุ่นบ้าง แต่ขณะที่นั่งลุ้นไปก็มีสิ่งหนึ่งที่อุบัติขึ้นในสมองของผู้เขียน คือรู้ว่านักกีฬาฟุตบอลของญี่ปุ่นมีชิป (Chip) สำคัญตัวหนึ่งที่ฝังอยู่ในสมองของนักฟุตบอลญี่ปุ่นทุกคนคือ "เขาต้องชนะเท่านั้น" ซึ่งสิ่งนี้ถูกปลูกฝังมาในสมองของเด็กทุกคนตั้งแต่วันเข้าโรงเรียน ฝังอยู่ในกิจกรรมนักเรียนของเด็ก ของทุกโรงเรียน คือการได้เข้าร่วมกิจกรรมในภาคบ่ายนั้น เด็กญี่ปุ่นจะได้รับการปลูกฝังว่าต้องมีการวางแผนก่อนเล่นทุกครั้ง และการวางแผนจะต้องวางแผนเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ทุกครั้ง และทุกครั้งที่มีกิจกรรมจะมีครูหรือผู้ที่มีความรู้มาเป็นโค้ชให้ทุกครั้ง เด็กทุกคนจะมีความหิวกระหายที่จะเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน มีระเบียบ มีวินัยการทำงานเป็นทีม การเคารพกฎกติกาในการเล่นจะถูกปลูกฝังไปด้วยทุกครั้ง ดังนั้น กีฬาฟุตบอลเยาวชนไปโอลิมปิกโลกในวันนั้น "ฉันต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น"

อาฟเตอร์ช็อกลูกที่ 4 คือกิจกรรมการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ การวัดผลในโรงเรียนที่เราถือปฏิบัติอยู่ทุกวันนั้นเป็นกิจกรรมที่ล้าสมัย การวัดผลที่ใช้ข้อสอบแบบเลือกตอบ (ปรนัย) เกิดขึ้นมาในประเทศไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ.2508-2510 และมารุ่งเรืองประมาณปี พ.ศ.2513-2516 และมาเป็นกฎหมายปรากฏในหลักสูตรปี 2521 และยั่งยืนมาจนทุกวันนี้ เป็นเครื่องมือวัดผลที่ใช้ได้ในเฉพาะบางแห่งบางเรื่อง แต่ไทยเอามาใช้ในทุกแห่งทุกเรื่อง ทุกสถานที่ทุกเวลา เพราะผลดีคือมันใช้ง่าย สะดวก เป็นวิทยาศาสตร์ มีความเที่ยงตรงสูง ฯลฯ ส่วนผลเสียไม่มีใครพูดถึง เช่น ลอกกันได้ง่าย เดาได้ง่าย ครูผู้สอนผู้วัดผลก็เมกอัพ นั่งเทียนให้เกรดให้คะแนนได้ง่าย ครูขี้เกียจบางคนสามารถยกเมฆได้ เป็นข้อสอบที่ไม่ส่งเสริมให้เด็กคิดเป็นแก้ปัญหาเป็น สอนให้มักง่าย สอนให้นั่งรอคำตอบ ข่าวล่าสุดในไลน์ที่ส่งเป็นภาพถ่ายจากเพื่อนมา พบว่าเด็กเขมรสอบวัดผลด้วยข้อสอบอัตนัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครทุจริตลอกข้อสอบต้องติดคุก

อาฟเตอร์ช็อกลูกที่ 5 เด็กไทยรู้จักคิด คนไทยมีศักยภาพที่จะเข้าสู่สนามแข่งขันได้อย่างมั่นใจ จึงเสนอไว้เพื่อให้ผู้มีอำนาจพิจารณา

 

ที่มา มติชน ฉบับวันที่ 28 ม.ค. 2559 (กรอบบ่าย) 


เดินหน้า ปฏิรูปการศึกษา 2559เดินหน้าปฏิรูปการศึกษา2559

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

ถ้าผมเป็น "รมต.ศึกษา"

ถ้าผมเป็น "รมต.ศึกษา"


เปิดอ่าน 15,081 ครั้ง
ระบบการศึกษาไม่สมดุล (2)

ระบบการศึกษาไม่สมดุล (2)


เปิดอ่าน 8,026 ครั้ง
การพัฒนาทักษะ EF ให้กับเด็ก

การพัฒนาทักษะ EF ให้กับเด็ก


เปิดอ่าน 11,039 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

ข้อสอบเด็กไทย...ปัญหาใหญ่ที่ต้องมอง

ข้อสอบเด็กไทย...ปัญหาใหญ่ที่ต้องมอง

เปิดอ่าน 8,656 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
4 สาเหตุที่เด็กๆ เบื่อโรงเรียน
4 สาเหตุที่เด็กๆ เบื่อโรงเรียน
เปิดอ่าน 10,632 ☕ คลิกอ่านเลย

อยากเลี้ยงลูกให้ฉลาด ต้องไม่มีคำว่า....โดย ดร.สุพาพร เทพยวรรณ
อยากเลี้ยงลูกให้ฉลาด ต้องไม่มีคำว่า....โดย ดร.สุพาพร เทพยวรรณ
เปิดอ่าน 24,830 ☕ คลิกอ่านเลย

ความคิดสร้างสรรค์ (1)
ความคิดสร้างสรรค์ (1)
เปิดอ่าน 8,494 ☕ คลิกอ่านเลย

Active Learning กำลังจะมา แต่ผล Pisa ของไทยกำลังไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น… : โดย ณรงค์ ขุ้มทอง
Active Learning กำลังจะมา แต่ผล Pisa ของไทยกำลังไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น… : โดย ณรงค์ ขุ้มทอง
เปิดอ่าน 22,084 ☕ คลิกอ่านเลย

เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด ตอนที่ 10 : เมื่อโรงเรียนเป็นนิติบุคคลแล้วประชาชนได้อะไร
เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด ตอนที่ 10 : เมื่อโรงเรียนเป็นนิติบุคคลแล้วประชาชนได้อะไร
เปิดอ่าน 9,870 ☕ คลิกอ่านเลย

ปรับการเรียนแนวใหม่สู้ "โอเน็ต" ให้ได้ผล
ปรับการเรียนแนวใหม่สู้ "โอเน็ต" ให้ได้ผล
เปิดอ่าน 10,677 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดประตูบ้านทิศใด เจรจาความจะสำเร็จ
เปิดประตูบ้านทิศใด เจรจาความจะสำเร็จ
เปิดอ่าน 18,907 ครั้ง

การออกกำลังของผู้ที่มีโรคหัวใจ
การออกกำลังของผู้ที่มีโรคหัวใจ
เปิดอ่าน 14,191 ครั้ง

กินอาหารจากไมโครเวฟบ่อย ๆ อันตรายไหมนะ?
กินอาหารจากไมโครเวฟบ่อย ๆ อันตรายไหมนะ?
เปิดอ่าน 17,269 ครั้ง

เทคนิคเลิกกาแฟ สำหรับคนอยากเลิกกาแฟ
เทคนิคเลิกกาแฟ สำหรับคนอยากเลิกกาแฟ
เปิดอ่าน 19,681 ครั้ง

แบบเรียนที่ไม่ได้มีไว้เลียนแบบ : นิ้วกลม
แบบเรียนที่ไม่ได้มีไว้เลียนแบบ : นิ้วกลม
เปิดอ่าน 9,802 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ