ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมข่าวการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

สกู๊ปพิเศษ: การศึกษา(ไทย)เป็นโรค"สำลักน้ำลาย"ร่างกายจึงไม่เจริญเติบโตเสียที


ข่าวการศึกษา 25 ม.ค. 2559 เวลา 09:34 น. เปิดอ่าน : 7,584 ครั้ง
Advertisement


Advertisement

สกู๊ปพิเศษ: การศึกษา(ไทย)เป็นโรค"สำลักน้ำลาย"ร่างกายจึงไม่เจริญเติบโตเสียที

เมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา สำนักงานเลขาธิการ สภาการศึกษา(สกศ.) ได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การ จัดทำกรอบแนวคิดของแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564)"โดยมี ผู้แทนของสำนักงานศึกษาธิการภาค, ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม, สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยม, ผู้แทนหน่วยงานจัดการศึกษา และ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุมหารือทิศทาง การขับเคลื่อนการวางกรอบแนวคิดของ แผนอย่างเป็นเอกภาพเชื่อมโยงทุกภาคส่วนและมีความเข้าใจ ที่ตรงกัน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม

ในห้องประชุม เจ้าภาพคือ สกศ. ได้เปิดการสังเคราะห์ข้อมูลการศึกษาอย่างรอบด้าน นับจำนวน ประเด็นข้อมูลที่เสนอเพื่อให้นำไปพัฒนาได้มากมายถึง 10 ประเด็น สำหรับนำไปใช้ ในการวางกรอบทิศทางแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่มีความสอดคล้องกับกรอบทิศทางแผนการศึกษาแห่งชาติ ระยะ 15 ปี (พ.ศ.2560-2574) ที่กำลังดำเนินการคู่ขนานกัน รวมทั้งสอดคล้องกับทิศทางการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และยุทธศาสตร์ประเทศระยะ 20 ปี

เรียกว่าภายในห้องประชุม ต้องใช้เวลาในการนั่งฟังกัน ด้วยระยะเวลายาวนาน ท่ามกลาง ความในใจของคนแต่ละคนที่ "ไม่รู้ว่าคิดอะไรกันบ้างในใจ" เนื่องจากหลายสิ่งหลายอย่าง ล้วนแต่เป็นของเก่า และแนวทางที่เคยพูดกันมาแล้ว ทับซ้อน กันมาไม่รู้กี่สมัยต่อกี่สมัยแล้ว โดยไม่มีใครพูดถึงการ ปฏิบัติกับสิ่งที่มีอยู่กันเลย ทุกอย่างมุ่งไปสู่การแสดงโวหาร ให้ฟัง ในลักษณะที่เกิดภาวะ "น้ำลายกระเซ็นเต็มห้องไปหมด"

น่าจะมีความคิดในใจของผู้นั่งฟังที่เป็นพหูพจน์ (ไม่น้อยกว่าสองคน) ที่กำลังคิดว่า "เก่งแต่พูด แต่ไม่เคย มีใครเอาใจใส่ต่อการนำไปปฏิบัติ" และอีกหลายคนอาจคิด ในใจต่อเนื่องกันอีกว่า หากสิ่งที่เคยตั้งกรอบ หรือ วางกรอบเอาไว้ในอดีต ถ้ามีใครนำเอาไปปฏิบัติอย่างเป็น รูปธรรม การพัฒนาหรือการปฏิรูปการศึกษาคงจะก้าวขึ้นฝั่งไปนานแล้วไม่ใช่อยู่ในสภาวะ พายเรือในอ่าง ที่วิ่งวนอยู่รอบๆ อ่างตลอดเวลา

ผลจากการเสียสละเวลามานั่งพูดนั่งคุยกัน "น้ำลาย กระจาย" ทำให้ได้ข้อมูลที่เป็น "ตัวอักษร" ออกมา 10 ประการมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย 1.รัฐมีหน้าที่จัดการให้พลเมืองทุกคนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐาน สามารถพัฒนาขีดความสามารถที่มีอยู่ในตัวตนของแต่ละบุคคลให้เต็มตามศักยภาพ 2.รัฐจะประกันโอกาสและความ สามารถในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและ มาตรฐานตามศักยภาพและความสามารถของแต่ละบุคคล 3.รัฐต้องแยกอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบให้ชัดเจน และมีความเป็นอิสระต่อกันในฐานะผู้กำกับนโยบาย และแผน ผู้กำกับการศึกษา ผู้ประเมินผล การศึกษา ผู้ส่งเสริม สนับสนุน และผู้จัดการศึกษา เพื่อมิให้เกิดการขัดกัน ซึ่งผลประโยชน์ 4.รัฐพึงปฏิบัติต่อ สถานศึกษาที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งสถานศึกษาของรัฐ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เอกชน สถานประกอบการ องค์กรเอกชน มูลนิธิ ฯลฯ 5.ทุกภาคส่วนของสังคมต้องมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการได้รับการศึกษาของพลเมืองผ่านการเสียภาษีตามหลักความสามารถในการจ่าย 6.สถานศึกษาต้องแสดงความรับผิดชอบต่อคุณภาพและมาตรฐานของบริการการศึกษา ที่ให้แก่ ผู้เรียนในทุกระบบการศึกษา 7.ความ ยั่งยืนและการดำรงอยู่ของสถานศึกษา อยู่ภายใต้ระบบการแข่งขัน อย่างเป็น ธรรมที่กำกับของรัฐ เพื่อให้การศึกษา มีคุณภาพมาตรฐาน ประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล 8.รัฐจะกำหนดกรอบทิศทางการพัฒนากำลังคนจำแนกตามระดับ ประเภทการศึกษา คณะ สาขาวิชา ที่สนองความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ 9.การจัดหลักสูตร การเรียนการสอนของการศึกษาทุกระบบต้องเป็นไปเพื่อสร้างคุณลักษณะนิสัย พฤติกรรมที่พึงประสงค์ ทักษะการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และ 10.หลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนของสถาน ศึกษาต้องมีความยืดหยุ่นหลากหลาย สนองความต้องการของผู้เรียนทั้งผู้ที่อยู่ ในวัยเรียน และผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน โดยไม่จำกัดเวลา สถานที่

ถ้าคนที่ได้รับรู้สาระสำคัญทั้ง 10 ประการนี้ ไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ก็คงจะบอกได้ว่าสาระทั้งหมด คือ ข้อมูลที่ถูกจัดวางเอาไว้ไม่รู้กี่สิบปีมาแล้ว เพียงแต่ว่าอักษรที่นำมากล่าวใหม่ มีการจัดสร้างคำให้ทันกับยุคสมัย หรือไม่ก็เพื่อแสดง "การใช้ภาษา" ที่สละสลวยขึ้นเท่านั้น เนื้อหาหรือแก่นแท้ๆ นั้น ก็สิ่งที่เคยมีอยู่แล้ว นั่นแหละถ้าเรามีคนเก่งปฏิบัติมากกว่า เก่งพูด การศึกษา(ไทย) ได้รับการปฏิรูปไปนานแล้วไม่น้อยกว่า สิบปี

และหากใครจะหลับตามองภาพที่จะเกิดนับแต่วันพรุ่งนี้ (คือเสร็จจากการประชุมในวันนี้แล้ว) เราก็จะได้ความเป็นรูปธรรมออกมา ดังนี้ 1.เกิดการปฏิบัติด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการ หรือ อนุกรรมการขึ้นมาอย่างเร่งด่วน เด็กใคร เด็กมัน แล้วก็นั่งกินเงินเดือน จนกว่า จะมีการประชุมจัดการปฏิรูปกันอีก ครั้งหนึ่ง 2.เมื่อออกจากการประชุม ไปแล้ว หลายคนก็พากันไปทำธุรกิจ ของตัวเอง ถือว่าภารกิจทางราชการ ที่ต้องมาเข้าร่วมประชุมเสร็จสิ้นไปแล้ว และ 3.อีกหลายหน่วยงานจะเกิดอาการ เอือมระอาต่อการทำงานขององค์กร การศึกษาไทย ที่ชอบพูดมากกว่าชอบทำ

สุดท้ายก่อนปิดการประชุม ผู้เป็นประธานการประชุมก็จะสรุปด้วย ใจความที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานของการประชุม ว่า เราจะนำแนวคิดที่เป็นส่วนร่วมของทุกคนนำไปสู่การจัดทำร่างแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และจัดรับฟังความคิดเห็นทั้ง 4 ภูมิภาค ต่อไป...สุดท้ายก็ได้กระดาษมาหลายแผ่นจากการประชุม

ความหวัง คือสิ่งเดียวที่ คนไทยมีอยู่ แม้จะผิดหวังซ้ำแล้ว ซ้ำเล่ามาไม่รู้กี่ครั้ง แต่พวกเขาต่าง ก็หวังว่า "ครั้งนี้คงไม่เหมือน ครั้งก่อน" เป็นการให้โอกาสด้วยการ เอาเวลามาเป็นทางออก โดยคิดว่า คนไทยลืมง่าย โดยพวกเขา ไม่เคยคิดกัน บ้างเลยว่า การพัฒนาหรือการปฏิรูป การศึกษาของไทยที่ไม่เคยเป็นไป อย่างที่หวัง นั่นเป็นเพราะการศึกษาไทย กำลังเป็นโรคสำลักน้ำลายจากคนบ้าน้ำลายที่ชอบพูดมากกว่าชอบทำ

ถ้าผู้นำประเทศ ไม่แก้ไข โรคสำลักน้ำลายให้หายจากคนทำงาน ที่บ้าน้ำลายเสียก่อน ต่อให้มีผู้กล้า ที่ยอมเสี่ยงมาปฏิรูปประเทศ อีกสักกี่คนก็ไม่มีวันปฏิรูปประเทศ ได้หรอก 

 

ที่มา แนวหน้า วันที่ 25 มกราคม 2559


สกู๊ปพิเศษ: การศึกษา(ไทย)เป็นโรค"สำลักน้ำลาย"ร่างกายจึงไม่เจริญเติบโตเสียทีสกู๊ปพิเศษ:การศึกษา(ไทย)เป็นโรคสำลักน้ำลายร่างกายจึงไม่เจริญเติบโตเสียที

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

:: เรื่องปักหมุด ::

การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2567

การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2567

เปิดอ่าน 3,053 ☕ 5 พ.ย. 2567

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
สมศ.ขานรับนโยบาย "บิ๊กอุ้ม"  ภายใน 5 ปี ประเมินสถานศึกษาครบกว่า 5.8 หมื่นแห่ง
สมศ.ขานรับนโยบาย "บิ๊กอุ้ม" ภายใน 5 ปี ประเมินสถานศึกษาครบกว่า 5.8 หมื่นแห่ง
เปิดอ่าน 501 ☕ 19 พ.ย. 2567

คุรุสภาเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. ... และ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ พ.ศ. ... ระหว่างวันที่ 15 - 30 พฤศจิกายน 2567
คุรุสภาเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. ... และ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ พ.ศ. ... ระหว่างวันที่ 15 - 30 พฤศจิกายน 2567
เปิดอ่าน 672 ☕ 15 พ.ย. 2567

"สุเทพ" แนะศึกษาธิการจังหวัดสร้างศรัทธาในการทำงานพร้อมร่วมมือพันธมิตรในพื้นที่ขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา
"สุเทพ" แนะศึกษาธิการจังหวัดสร้างศรัทธาในการทำงานพร้อมร่วมมือพันธมิตรในพื้นที่ขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา
เปิดอ่าน 769 ☕ 15 พ.ย. 2567

ปฏิทินการบริหารงานบุคคล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568
ปฏิทินการบริหารงานบุคคล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568
เปิดอ่าน 3,364 ☕ 13 พ.ย. 2567

ประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกระดับชาติเพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ประจำปี 2567
ประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกระดับชาติเพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ประจำปี 2567
เปิดอ่าน 2,056 ☕ 13 พ.ย. 2567

สพฐ.แจ้งแนวทางการอนุญาตให้บุคลากรในสังกัดทำหน้าที่ผู้ประเมินคุณภาพภายนอก
สพฐ.แจ้งแนวทางการอนุญาตให้บุคลากรในสังกัดทำหน้าที่ผู้ประเมินคุณภาพภายนอก
เปิดอ่าน 949 ☕ 13 พ.ย. 2567

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

คาดคนอ้วนมี"โดปามีน"น้อย ต้นเหตุไร้ความสุข
คาดคนอ้วนมี"โดปามีน"น้อย ต้นเหตุไร้ความสุข
เปิดอ่าน 9,511 ครั้ง

สารพัดวิธี เบิร์น 100 กิโลแคลอรี่ แค่ไม่ถึงชั่วโมง แบบง่ายๆ
สารพัดวิธี เบิร์น 100 กิโลแคลอรี่ แค่ไม่ถึงชั่วโมง แบบง่ายๆ
เปิดอ่าน 14,565 ครั้ง

วิธีทำให้ความจำดีขึ้น
วิธีทำให้ความจำดีขึ้น
เปิดอ่าน 14,681 ครั้ง

ลีมูซีนรถประจำตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
ลีมูซีนรถประจำตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
เปิดอ่าน 13,021 ครั้ง

วิธีการเชิงระบบ
วิธีการเชิงระบบ
เปิดอ่าน 45,443 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ