“พินิจศักดิ์” เผยสกสค. แจ้งข้อกล่าวหา กรรมการบริษัท บิลเลี่ยน- อดีตบิ๊ก สกสค. ไม่ต่ำกว่า 10 คดี จี้ ปปง.ส่งเงินยึดทรัพย์คืนสกสค.
วันนี้(19 ม.ค.) นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือเสี่ยบิ๊ก เจ้าของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด โดยกล่าวหาว่าร่วมกันปลอมตั๋วเงิน และใช้ตั๋วเงินปลอม ร่วมกันฉ้อโกงร่วมกันออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ว่า ตนไม่ทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับนายสัมฤทธิ์ ในข้อหาใด เพราะสกสค. แจ้งความเอาผิดกับนายสัมฤทธิ์ และกรรมการบริษัท บิลเลี่ยนฯ จำนวน 9 ราย พร้อมอดีตผู้บริหารสกสค. และอดีตคณะกรรมการกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ของกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ที่อนุมัติซื้อตั๋วสัญญากับ บริษัท บิลเลี่ยนฯ เพื่อนำไปลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี อีกจำนวน 9 ราย รวมทั้งหมด 18 ราย หลายคดี โดยขณะนี้กำลังให้ฝ่ายกฎหมายของสกสค.รวบรวมคดีต่าง ๆ ที่สกสค.ได้ดำเนินการแจ้งความไป มาตรวจสอบอีกครั้ง
นายพินิจศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า เบื้องต้นเท่าที่มีข้อมูล สกสค. ได้แจ้งความ เพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ว่าได้พบหลักทรัพย์ซึ่งประกอบด้วย ธนบัตรของประเทศโครเอเชีย มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท ดราฟต์ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) ประเทศไทย มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เช็คเงินสดของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 2,100 ล้านบาท โฉนดที่ดินมูลค่า 30 กว่าล้านบาท
ครั้งที่ 2 วันที่ 14 พฤษภาคม 2558 แจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ว่าได้เคลื่อนย้ายหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันทั้งหมดไปไว้ที่ห้องมั่นคง
ครั้งที่ 3 วันที่ 15 พฤษภาคม 2558 แจ้งความไว้เป็นหลักฐานว่า ครบกำหนดที่บริษัท บิลเลี่ยนฯ จะต้องชำระเงินตามตั๋วสัญญา จำนวน 2,100 ล้านบาท และจำนวน 400 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัท บิลเลี่ยนได้มาขอเพิ่มจากสกสค. โดยอ้างว่า หลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันมีมูลค่าสูงกว่า 2,100 ล้านบาท ที่นำไปลงทุน รวม 2,500 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ชำระคืนตามกำหนด
ครั้งที่ 4 วันที่ 21 พฤษภาคม 2558 แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษอดีตผู้บริหารกองทุนเงินสนับสนุนฯ 2 ราย ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ครั้งที่ 5 วันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ส่งเอกสารเพิ่มเติม ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ สำเนาหนังสือที่สกสค.ส่งถึงธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) ประเทศไทย เพื่อสอบถามกรณี ดราฟต์ มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และเช็คเงินสดของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 2,100 ล้านบาท รวมถึงหนังสือที่ทางธนาคารทั้งสองแห่งตอบกลับมา
ครั้งที่ 6วันที่ 28 พฤษภาคม 2558 ร้องทุกข์กล่าวโทษกรรมการผู้จัดการบริษัท บิลเลี่ยนฯ ในความผิดปลอม และใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม และความผิดฐานฉ้อโกง และจากนั้น วันที่ 2 มิถุนายน 2558 มีหนังสือถึงบริษัท บิลเลี่ยน ให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน
ครั้งที่ 7 วันที่ 5 มิถุนายน 2558 แจ้งความร้องทุกข์กับ บริษัท บิลเลี่ยนฯ กรณีออกเช็คสั่งจ่ายให้กับกองทุนสนับสนุนฯ จำนวน 2.100 ล้านบาท โดยทางธนาคารเจ้าของเช็คจำนวนดังกล่าว แจ้งว่า ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ เนื่องจากเงินในบัญชีไม่พอจ่าย จากนั้นวันที่ 8 มิถุนายน 2558 มีหนังสือ แจ้งกรรมการบริษัท บิลเลี่ยน ฯ ให้ชำระหนี้จำนวน 2,500 ล้านบาทในฐานะผู้ค้ำประกัน
ครั้งที่ 8 วันที่ 9 มิถุนายน 2558 แจ้งความดำเนินคดี กับบริษัท บิลเลี่ยนฯ ในฐานะนิติบุคคล และแจ้งความกรรมการบริษัท บิลเลี่ยนฯ ในข้อหาออกเช็ค โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค
ครั้งที่ 9 วันที่ 17 มิถุนายน 2558 ในข้อหาเดี่ยวกับครั้งที่ 8 แต่เพิ่ม ข้อหาร่วมกันปลอมแปลงตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม และร่วมกันฉ้อโกง และ
ครั้งที่ 10 วันที่ 1 ธันวาคม 2558 แจ้งความในความผิดฐานสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และฐานร่วมกันฉ้อโกง
“ตอนนี้ทางสกสค. เองยังไม่ทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมนายสัมฤทธิ์ด้วยข้อหาอะไร ทางสกสค.คงต้องประสานรายละเอียดไปว่า ออกหมายจับในข้อหาใดบ้าง หากทางตำรวจต้องการเอกสาร หลักฐานใดเพิ่มเติม เราก็ยินดีอำนวยความสะดวก แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อมา” ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสกสค.กล่าว
นายพินิจศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้ากรณีสกสค.ยื่นโนติส แจ้งให้สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ดำเนินการคืนเงินจำนวน 2,100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้แก่ สกสค. เนื่องจากตรวจสอบพบว่ามีการอนุมัติ ปิดบัญชีและเบิกถอนเงินของสกสค.ที่ฝากไว้กับธนาคารดังกล่าวอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งล่าสุด สถาบันการเงินได้ส่งหนังสือถึงสกสค. ยืนยันว่า การดำเนินการอนุมัติเบิกถอนเงิน และปิดบัญชีเป็นไปอย่างถูกต้องนั้น ตนได้รายงานให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศธ. รับทราบแล้ว โดยธนาคาร ดังกล่าวยืนยันว่า ผู้อนุมัติให้เบิกถอนเงิน และปิดบัญชี มีอำนาจอย่างถูกต้อง แต่ทางสกสค. ยืนยันตามคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ชี้มาว่า ผู้เซ็นอนุมัติให้ปิดบัญชี และโอนเงินเข้าบัญชี บริษัท บิลเลี่ยนฯ ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ เพราะไม่ได้เป็นหัวหน้าหน่วยงาน และไม่ได้รับมอบอำนาจ ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องสู้กัน โดนขณะนี้เข้าใจว่าทางหัวหน้าคณะทำงานของรมว.ศธ. ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะเสนอให้ รมว.ศธ. สั่งการว่าจะดำเนินการในเรื่องใด เพราะหากเราพิจารณาและตัดสินเอง อาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้
นายพินิจศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้า การยื่นเรื่อง เพื่อขอทรัพย์สินของบริษัท บิลเลี่ยนฯ และอดีตผู้บริหารสกสค. และกรรมการกองทุนฯ ที่ถูก สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อายัดไว้ให้ตกเป็นของสกสค. นั้นล่าสุดสกสค.ได้ ยื่นหนังสือ ผ่านปปง. เมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมาเพื่อขอให้ทรัพย์สินที่ปปง.อายัดประมาณ 400 กว่าล้านบาทไว้ตกเป็นของสกสค. เพราะสกสค.เป็นผู้เสียหายตามขั้นตอนตามกฎหมายแล้ว จากนั้นต้องรอการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เงินทั้งหมดที่เป็นของสกสค.ควรจะได้รับคืนมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเงินที่ถูกอายัด หรือเงินที่ขอให้ทางธนาคารแห่งหนึ่งคืนจำนวน 2,100 ล้านบาทพร้อมอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 19 มกราคม 2559