"ดาว์พงษ์"แย้มปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลิกเรียนเที่ยงในเด็กป.1-ป.3เพื่อเพิ่มกิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ ย้ำระบบส่งต่อเข้ามหาวิทยาลัยต้องมีคุณภาพ
วันนี้ (13 ม.ค.) พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่า ตนได้มอบเป็นการบ้านให้ที่ประชุมรับทราบว่า การปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะต้องนำหลักสูตรแบบเดิมมาพิจารณาว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เช่น เด็กเรียนมากเกินไป หรือ เรียนแล้วสามารถไปแข่งขันกับคนอื่นๆได้หรือไม่ การเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษ มีความเข้มข้นมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น โดยตนอยากให้หลักสูตรใหม่เน้นสร้างแรงจูงใจการเรียนภาษาอังกฤษให้แก่เด็กด้วย เพราะที่ผ่านมาเด็กไม่ค่อยเห็นความสำคัญในการเรียนวิชานี้ เนื่องจากการประกอบอาชีพส่วนใหญ่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเท่าที่ควร ทั้งนี้ การจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่ จะต้องสอดคล้องกับความต้องการทั้งระบบ โดยเฉพาะการผลิตเด็กให้ตรงกับความต้องการของประเทศ การพัฒนาครูแผนการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนความรู้รอบตัวของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการประเมินผลทางการศึกษาทั้งภายในและภายนอกด้วย
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ตนได้วางกรอบเวลาการจัดทำหลักสูตรใหม่นี้ว่าจะต้องแล้วเสร็จและเริ่มทดลองใช้ในภาคเรียนที่ 2/2559 เพื่อดูว่ามีอุปสรรคใดบ้างที่จะต้องปรับแก้ไขและการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะต้องประสานการทำงานร่วมกับระดับอุดมศึกษาด้วย เพื่อรองรับผู้เรียนจบชั้นม.6 เพื่อไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ตนไม่อยากให้ใครมาต่อว่าระบบส่งต่อเด็กตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่มีคุณภาพจนทำให้เด็กไม่สามารถเข้าเรียนต่อสาขาวิชาอื่นๆในระดับอุดมศึกษาได้
“ที่ผ่านมามีการปรับหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มอาจปรับลดกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีอยู่ 8กลุ่มเหลืออยู่ 5 กลุ่มสาระการเรียน เพราะไม่อยากให้เด็กเรียนอัดแน่นจนเกินไป แต่ก็ยังไม่ใช่ข้อสรุปทั้งหมด เนื่องจากต้องมีการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการปรับปรุงหลักการศึกษาขั้นพื้นฐานอีกหลายชุด ซึ่งการปรับหลักสูตรยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องปรับโครงสร้างเวลาเรียนแต่เมื่อหลักสูตรใหม่เสร็จสิ้นก็อาจจะปรับลดเวลาเรียนลงในบางช่วงชั้น เช่น ประถมศึกษาปีที่ 1-3 อาจจะเลิกเรียนครึ่งวัน เพื่อมาเพิ่มกิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ให้มากขึ้น” พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าว.
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 1 มกราคม 2559