"การุณ"สรุปภาพรวมโครงการลดเวลาเรียนหลังเดินหน้านโยบาย 2 เดือน พบ โรงเรียนมีความพร้อม ร้อยละ 95.31 นักเรียนมีความสุข ร้อยละ 96ขณะที่ครูมีความสุขในการสอน ร้อยละ 93
วันนี้ (5 ม.ค.) นายการุณ,สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่าตามที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เดินหน้าโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) จำนวน 3,831 โรง ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย.2558 นั้นจากการดำเนินโครงการนี้ได้ 2 เดือน สพฐ.ได้สรุปข้อมูลผลการติดตามการดำเนินงานเชิงประจักษ์ พบว่า สถานศึกษามีความพร้อมในการบริหารจัดการอย่างเต็มศักยภาพ ร้อยละ 95.31 โรงเรียนจัดตารางเรียนกับกิจกรรมสอดคล้องกันร้อยละ 93.63 และมีการจัดแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสม ร้อยละ 86.75
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า นักเรียนมีความสุข ตื่นตัวต้องการเข้าร่วมกิจกรรม ร้อยละ 96 ครูร่วมกิจกรรมกับนักเรียนได้อย่างมีความสุข ร้อยละ 93 ชุมชนและหน่วยงานอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม ร้อยละ 41ผู้ปกครองและชุมชนตื่นตัวให้ความสนใจกิจกรรมที่โรงเรียนดำเนินการ ร้อยละ 61 สำหรับปัญหาที่พบในการจัดกิจกรรมลดเวลาเรียนนั้น ครูขาดความรู้ความเข้าใจและไม่มีเวลาจัดทำแผน ซึ่งเป็นปัญหาที่โรงเรียนสามารถแก้ไขได้เอง ส่วนปัญหานักเรียนสนใจเข้าร่วมกิจกรรมจนไม่มีสมาธิในการเรียนชั่วโมงปกตินั้น สถานศึกษาต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรม และจัดให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น อีกทั้งยังมีปัญหานักเรียนสับสนเวลาในการทำกิจกรรม ความแตกต่างระหว่างวัยในการทำกิจกรรมที่คละชั้น หรือ ครูไม่เพียงพอต่อกิจกรรม กิจกรรมที่จัดไม่ตรงกับความถนัดของครู รวมไปถึงปัญหาขาดแคลนวัสดุ อุปกรณ์และงบประมาณ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการแก้ไขต่อไป
“ส่วนใหญ่การทำกิจกรรมลดเวลาเรียน นักเรียน ครู และผู้ปกครองมีความสุข และมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี ซึ่งในปีการศึกษา 2559 สพฐ.จะขยายผลเพิ่มเติมอีก10,699 โรง นอกจากนี้จะจัดประกวด BestPractice โรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จในการจัดกิจกรรม เพื่อเป็นตัวอย่างแก่โรงเรียนอื่นๆด้วย ส่วนประเด็นที่ครูมองว่าโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ เป็นการเพิ่มภาระงานนั้น ผมมองว่าไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระครู เพราะโครงการอยู่ในภารกิจการสอนอยู่แล้วซึ่งปัจจุบันครูก็มีความเข้าใจมากขึ้น ดูได้จากผลสำรวจของการดำเนินงานที่ครูมีความสุขถึง 93%” นายการุณ กล่าว.
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 5 มกราคม 2559