สถานี ก.ค.ศ.
ข้าราชการครูเรียกรับเงินจากผู้อื่นเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
สัปดาห์ที่แล้วได้นำกรณีตัวอย่างความผิดวินัยของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปใช้จ่ายที่ผิดระเบียบของทางราชการ ในสัปดาห์นี้จะนำกรณีความผิดวินัยเกี่ยวกับการเรียกรับเงินมาให้ความรู้ต่อเนื่องอีกหนึ่งตัวอย่าง ดังนี้
นายเขียว ข้าราชการครูสังกัดส่วนราชการแห่งหนึ่ง มีความประสงค์จะขอโอนมารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในวิทยาลัยเทคนิค สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งนายเขียวได้รู้จักนางดำ เพื่อนบ้านซึ่งเป็นข้าราชการครูวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จึงไปขอคำแนะนำเกี่ยวกับการยื่นเรื่องขอโอน นางดำได้บอกกับนายเขียวว่า หากจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง 60,000 บาท ก็จะได้รับการพิจารณาให้โอนได้ภายใน 1 ปี นายเขียวตอบตกลง โดยจะจ่ายให้ก่อนครึ่งหนึ่ง หากได้รับการพิจารณาให้โอนได้จะจ่ายให้อีกครึ่งหนึ่ง ต่อมานายเขียวได้ไปยื่นคำร้องขอโอนย้ายที่วิทยาลัยเทคนิค และได้โอนเงินให้กับนางดำ จำนวน 20,000 บาท หลังจากนั้นจึงโทรศัพท์บอกกับนางดำว่าได้โอนเงินให้แล้ว ซึ่งนางดำบอกให้โอนเพิ่มอีก 10,000 บาท เพราะต้องนำไปให้ทีมงาน คือ นายขาว ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อเป็นค่าดำเนินการ อีกสองวันถัดมา นายเขียวจึงไปโอนเงินให้นางดำเพิ่มอีก 10,000 บาท หลังจากนั้น นายเขียวจะโทรศัพท์สอบถามความคืบหน้าจากนางดำอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งนางดำบอกว่าได้รับเงินแล้ว และได้จ่ายให้นายขาว เพื่อเป็นค่าประสานงานเรียบร้อยแล้ว และเมื่อนายเขียวโทรไปสอบถามนายขาว นายขาวก็บ่ายเบี่ยงตลอด จนเวลาได้ล่วงเลยไปเกือบ 6 เดือนแล้ว นายเขียวไม่ได้รับการติดต่อจากนางดำและนายขาวอีกเลย นายเขียวจึงทราบว่าตนถูกหลอก จึงไปร้องเรียนต่อเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เมื่อนางดำทราบเรื่องจึงได้รีบโอนเงินจำนวน 30,000 บาท คืนให้แก่นายเขียว โดยอ้างว่านายเขียวโอนเงินให้แก่ตนเองโดยมิชอบ เมื่อทราบเรื่องจึงได้รีบโอนเงินคืน จากการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ความว่า นางดำและนายขาวมีพฤติการณ์ร่วมกันใช้กลอุบายหลอกลวงนางเขียวให้หลงเชื่อ ว่าสามารถช่วยเหลือให้โอนมารับราชการเป็นข้าราชการครู ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ โดยเรียกรับเงินเป็นข้อตอบแทนในการดำเนินการดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง กรณีไม่รักษาชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย โดยกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ตามมาตรา 94 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจึงสั่งลงโทษลดขั้นเงินเดือนคนละ 1 ขั้น และรายงาน ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณาต่อไป
สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ (ซึ่งทำการแทน ก.ค.ศ.) เพื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของนางดำและนายขาวเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง การที่ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษลดขั้นเงินเดือนคนละ 1 ขั้น นั้น ยังไม่เป็นการถูกต้องและเหมาะสมแก่กรณีความผิด จึงมีมติให้ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งเพิ่มโทษจากลดขั้นเงินเดือนคนละ 1 ขั้น เป็นโทษปลดออกจากราชการทั้งสองราย
ดังนั้น จึงขอให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่านได้ตระหนักถึงวินัยและการรักษาวินัยของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเคร่งครัด แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า
พินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์
เลขาธิการ ก.ค.ศ.
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันจันทร์ ที่ 7 ธันวาคม 2558