"ดาว์พงษ์"ให้ สช.ทบทวนข้อเสนอขอปรับขึ้นเงินอุดหนุน จาก 60% เป็น 70% ซึ่งต้องใช้งบฯ เฉลี่ย 4.7 พันล.ต่อปี ชี้รัฐอุ้มไม่ไหวแน่สถานะการเงินชาติไม่ได้มีมาก
เมื่อวันที่ 29 ต.ค.58 พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) และสมาคมสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนแห่งประเทศไทย ได้เข้าพบและได้เสนอแนวทางการให้การอุดหนุนของรัฐในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ โรงเรียนเอกชนอย่างยั่งยืน โดยในปีงบประมาณ 2559 ทางโรงเรียนเอกชนได้ขอปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวทุกระดับชั้น เป็น 70% จากปัจจุบันได้รับอุดหนุน 60% ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะเอกชนไม่สามารถตอบคำถามบางอย่างกับตนได้ จึงได้ขอให้กลับไปทำการบ้านเพิ่มและเสนอกลับมาใหม่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้โรงเรียนเอกชนมีนักเรียนในความรับผิดชอบอยู่ประมาณ 2 ล้านกว่าคน จึงให้ไปศึกษาตัวเลขว่า หากโรงเรียนเอกชนประสบปัญหาขาดทุนและต้องปิดโรงเรียนทั้งหมด รัฐจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่าไหร่ ในการสร้างโรงเรียนใหม่เพื่อรองรับเด็กกว่า 2 ล้านคน นอกจากนั้นทางเอกชนมีข้อเสนอด้วยว่าจะขอเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวเต็มเพดาน 100% นั้นมองว่าเป็นเรื่องอนาคตที่ต้องหยุดไว้ก่อน ขอให้ทางเอกชนทำข้อมูลที่ขอเพิ่มการอุดหนุน 70% มาก่อน เพราะการเพิ่มดังกล่าวต้องใช้งบประมาณเพิ่มปีละ 4,762 ล้านบาท
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ตนได้ขอให้ สช.กลับไปดูว่ากฏกติกาในการใช้เงินอุดหนุนที่รัฐให้ไป มีช่องว่างให้โรงเรียนเอกชนนำเงินอุดหนุนดังกล่าวไปใช้อะไรก็ได้ โดยที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่จะใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือไม่ เพื่อสร้างความมั่นใจและแสดงให้เห็นถึงความสมเหตุสมผลมากขึ้นในการที่รัฐจะต้องเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้ ทั้งนี้ เงินอุดหนุนรายหัวจะใช้จ่ายใน 4 รายการ ได้แก่ เงินเดือนครูและบุคลากร, การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนและครุภัณฑ์,การพัฒนาอาคารสถานที่ และการดำเนินกิจการของโรงเรียน
"โดยส่วนตัวผมเห็นว่าเงินอุดหนุนควร จะใช้ในเรื่องของครูเป็นอันดับแรก ที่เหลือให้ใช้ในส่วนที่ตรงกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ได้มากที่สุด เพราะขณะนี้ สถานะทางการเงินของประเทศไม่ได้มีมาก นึกจะเอาไปใช้อะไรก็ได้ ที่สำคัญต้องตระหนักว่า ศธ.ใช้งบประมาณสูงที่สุดต้องดูประสิทธิภาพการใช้เงินด้วย หากเรื่องใดเห็นว่ามีความจำเป็นก็เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้ แต่จะไม่รีบร้อนจนกว่าจะมีความชัดเจน"พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าว
ที่มา สยามรัฐ วันที่ 29 ตุลาคม 2558