เว็บไซต์ฟอร์บส์รายงานเมื่อ 22 ต.ค. ว่า คณะนักดาราศาสตร์เปิดเผยถึงการเห็นเหตุการณ์ระบบสุริยะดับสูญด้วยฝีมือดาว ฤกษ์ในระบบเป็นครั้งแรก เปรียบเหมือนดาวมรณะ หรือ เดธ สตาร์ ที่กลืนกินดาวบริวารของมันเอง
จากความรู้ทางดาราศาสตร์ที่ทำให้เรารู้ว่า ชะตาของโลกในปีหลายพันล้านปีข้างหน้านั้น จะลงเอยด้วยการถูกทำลายโดยดวงอาทิตย์ที่เผาผลาญตัวเองจนหมดพลังงานแล้วกลายเป็นดาวแคระสีขาว (white dwarf star) ถึงเวลานั้นโลกจะไม่มีอะไรเหลือให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้
ภาพจำลองที่นักวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นนาทีดาวแคระสีขาวดูดกลืนเศษซากดาวบริวาร
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุดนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกของเรา นั่นคือโลกและดาวเคราะห์อื่นๆ ที่โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์จะถูกบดเคี้ยวด้วยดาวแม่ที่แปรสภาพเป็นดาวแคระสีขาวนั่นเอง
แอนดรูว์ แวนเดอร์เบิร์ก จากศูนย์ดาราฟิสิกส์ ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียน ในฐานะผู้เขียนรายงานปรากฏการณ์ที่พบเห็นนี้ กล่าวว่า "เรากำลังดูระบบสุริยะถูกทำลาย นี่เป็นภาพที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเห็นมาก่อน"
การศึกษาครั้งนี้ได้ข้อมูลจากยานเคปเลอร์ ในภารกิจเคปเลอร์ เค 2 ที่องค์การนาซาของสหรัฐส่งออกไปสำรวจดาวต่างๆ กระทั่งพบปรากฏการณ์ที่วัตถุหินขนาดใหญ่เท่าๆ กับดาวเคราะห์แคระเซเรส Ceres (อยู่กลางวงโคจรระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสฯ) ถูกกลืนเข้าไปในวงหมุนมรณะรอบดาวแคระสีขาว
พอจับสังเกตปรากฏการณ์เบื้องต้นนี้ได้ แวนเดอร์เบิร์กและคณะจึงใช้กล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดิน ที่ศูนย์สำรวจอวกาศวิปเปิล ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ส่องไปสังเกตการณ์ที่ระบบดังกล่าวที่อยู่ห่างออกไป 570 ปีแสงในกลุ่มดาวเวอร์โก หรือกลุ่มดาวรูปหญิงสาว
"เดธ สตาร์" หรือดาวมรณะในหนังสตาร์ วอร์ เป็นชื่อที่สื่อดึงมาใช้เรียกดาวแคระสีขาว
คณะนักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นจังหวะแสงวาบทุกๆ 4.5-5 ชั่วโมง บ่งชี้ว่า ดาวขนาดเล็กแปรสภาพเป็นดาวแคระสีขาว และแสงนั้นจะค่อยๆ ริบหรี่ลงราว 40 เปอร์เซนต์
ดาวแคระสีขาวนี้มีพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งมาก และเต็มไปด้วยส่วนประกอบหนัก อย่างแคลเซียม ซิลิคอน และเหล็ก กระจุกไว้ที่แกนกลาง พร้อมปล่อยส่วนประกอบที่เบาที่สุดอย่างฮีเลียมและไฮโดรเจนออกมาที่พื้นผิว นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนประกอบเหล่านี้เป็นเศษจากดาวเคราะห์ที่เพิ่งถูกบดทำลาย
ที่มา ภาพและเนื้อหาจาก ประชาชาติธุรกิจ