"ดาว์พงษ์"เชิญหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ร่วมคิดกิจกรรเมนูลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ยอดโรงเรียนเข้าร่วมโครงการนำร่องเพิ่มเป็น 3,800 แห่ง ลั่นเริ่ม 2 พ.ย.นี้
วันนี้ ( 28 ก.ย.) พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยภายหลังการประชุมนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรื่องลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ ว่า ตนได้เชิญผู้แทนส่วนราชการ จากกระทรวงต่างๆ รวมถึงหน่วยงานจากภาคเอกชนมาหารือถึงการสนับสนุนเมนูกิจรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ ซึ่งทุกหน่วยงานสนใจที่จะเข้าร่วมจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ โดยการเข้าร่วมโครงการของแต่ละหน่วยงาน แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ หน่วยงานที่สนับสนุนเพียงอุปกรณ์การเรียนการสอน และ หน่วยงานที่สนับสนุนทั้งอุปกรณ์และบุคลากรในการอบรมครูซึ่งตนได้อธิบายแนวคิดของนโยบายดังกล่าว ว่า กิจกรรมเพิ่มเวลารู้ที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับการเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนรู้ของเด็กแต่ละช่วงวัยทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนนโยบายดังกล่าว โดยอาจจัดกิจกรรมสอนวิธีการแปรงฟันให้แก่เด็ก เพราะ สธ.มีความพร้อมทั้งบุคลากรและอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น
“ผมได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่มาช่วยสนับสนุนกลับไปคิดโจทย์กิจกรรม และกลับมานำเสนออีกครั้ง ซึ่งผมจะส่งรายชื่อโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการไปให้กระทรวงต่างๆ และหน่วยงานจากภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนไปศึกษาข้อมูลว่ามีโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาใดบ้างที่เด็กสามารถเรียนกิจกรรมจากเมนูที่หน่วยงานนั้นคิดค้นขึ้นเพราะขณะนี้มีจำนวนโรงเรียนที่มีความพร้อมเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นจากเดิม 2,948 โรง เป็น 3,800 โรง อย่างไรก็ตามหากหน่วยงานไหนยังไม่มีความพร้อมก็ไม่เป็นไร เพราะ ศธ.มีเมนูกิจกรรมที่มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ไปคิดค้นอยู่แล้ว ดังนั้นการที่มีหน่วยงานจากกระทรวงต่างๆเข้ามาช่วยเติมเต็ม ก็เป็นเพียงการสร้างความร่วมมือแบบบูรณาการการเรียนรู้ให้แก่เด็ก” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวต่อไปว่าการเดินหน้านโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ จะเริ่มดำเนินการในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 และหลังจากนั้นจะมีการประเมินเพื่อดูว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคตรงจุดไหนในทุกๆ1 เดือน อีกทั้งอาจจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของครูในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายดังกล่าวด้วย.
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 28 กันยายน 2558