ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมบทความการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

เราสอบไปเพื่ออะไร?


บทความการศึกษา 22 ก.ย. 2558 เวลา 09:45 น. เปิดอ่าน : 22,829 ครั้ง
Advertisement


Advertisement

เราสอบไปเพื่ออะไร?

คอลัมน์ เหลาดินสอ รอสอน: เราสอบไปเพื่ออะไร?

โดย สาธร อุพันวัน CEO โรงเรียนกวดวิชาออนดีมานด์

ทุกวันนี้เราสอบไปเพื่ออะไร หลายๆ ท่านคงสงสัยใช่ไหมครับ เด็กทุกวันนี้ทำไมเรียนกันเยอะ ไม่ใช่แค่เรียนเยอะเท่านั้นนะครับ การสอบของไทยก็เยอะตาม แล้วซับซ้อนกว่าสมัยก่อนมาก

ปัจจุบันการสอบมีหลายแบบ เช่น การสอบตรงของแต่ละคณะ แต่ละมหาวิทยาลัย ข้อสอบใช้กันคนละข้อสอบ รวมไปถึงการสอบ Admissionกลาง ทำให้เด็กต้องสอบหลายรอบ ข้อสอบก็ยาก ทำให้เด็กมีภาวะกดดันและเกิดความเครียด จนอาจเป็นที่มาของคำถามว่า เราสอบไป เพื่ออะไร? ที่ทำอยู่มันใช่ไหม? แล้วต้อง ปรับเปลี่ยนอย่างไร?

สมัยก่อนตอนที่ยังเรียกการสอบเข้ามหาวิทยาลัยว่าการสอบ Entrance เด็กที่สอบติดหมอหรือวิศวะอย่างน้อยๆ ก็ต้องได้คะแนนจากการสอบคณิตศาสตร์ 80-90% ขึ้นไป ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นการสอบคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า PAT1 สิ่งที่น่าตกใจมากคือ มีนักเรียนที่สอบ PAT1 กว่า 239,345 คน มีเพียง 621 คน ที่ได้คะแนนมากกว่า 50% แต่จำนวนรับแพทย์,ทันตแพทย์ในปีที่ผ่านมาทั้งสิ้น1,487คน แสดงว่ามีน้องที่ติดหมอแล้วได้คะแนนต่ำกว่า50% หรือสอบตกมากกว่า 866 คน

ถามว่าน้องที่สอบติดหมอ เรียนหนักขนาดนั้น ไม่เก่งหรือไม่ตั้งใจเรียนจนทำให้ได้คะแนนแค่นี้หรือ ผมบอกเลยว่าความจริงไม่ใช่เป็นเพราะข้อสอบนั้นยากเกินไปและมีการตอบคำถามที่ซับซ้อนเกินไป นอกจากนั้นข้อสอบแบบนี้จะวัดความสามารถเด็กอ่อนไม่ได้เลยเพราะขนาดเด็กเก่งยังได้คะแนนแค่นี้ ซ้ำร้ายเคยมีกรณีสอบตรง เข้านิเทศศาสตร์ จุฬา ซึ่งมีข้อกำหนดว่า เด็กต้องสอบ PAT1 ได้เกิน 60%ขึ้นไป จึงจะมีสิทธิผ่านเข้าสัมภาษณ์ต่อไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่มีใครผ่านเกณฑ์แม้แต่คนเดียว สุดท้ายก็ไม่รู้ว่ามีกระบวนการแก้ไขกันอย่างไรถึงจัดการรับเข้าให้เสร็จสิ้นได้ ตรงข้ามกับการสอบของต่างประเทศอย่าง SAT เด็กไทยมักได้คะแนน 90% ขึ้นไป เช่นเดียวกับ GMAT ที่ใช้คะแนนในการสอบเข้าปริญญาโท เด็กไทยส่วนมากสอบได้ 90%ขึ้นไปหรือได้ 100 เต็มก็เยอะเช่นเดียวกัน

ในกรณีนี้สิ่งที่จะชี้ให้เห็นก็คือ การสอบของต่างประเทศนั้น เค้าทำข้อสอบขึ้นมาเพื่อให้เด็กทำได้ ออกในสิ่งที่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้า ออกในสิ่งที่สอนอย่างมีมาตรฐานที่เหมาะสม ในขณะที่ข้อสอบของไทยติดนิสัยที่ต้องออกข้อสอบให้ยาก การแต่งตัวเลือก ก็ให้ยากๆ ใครเผลอจะเลือกตัวเลือกที่ผิด คิดแต่ว่าจะออกข้อสอบอย่างไรให้เด็กทำไม่ได้

ในขณะที่ข้อสอบ SAT ส่วนใหญ่ไม่เป็นแบบนั้น จะมีเพียงท้ายข้อสอบที่ต้องการวัดระดับเด็กเท่านั้น ผมก็ไม่รู้ว่าทัศนคตินี้ เริ่มเป็นกันมาตั้งแต่สมัยไหน แต่ประเทศเราเป็นแบบนี้ ความจริงเราควรมาคิดกันใหม่เรื่องการศึกษาว่า เราควรสอนอะไรเด็ก เด็กควรมีความรู้แค่ไหน และออกข้อสอบให้เหมาะสม เมื่อเด็กทำได้ก็แสดงว่า เด็กนั้นได้ความรู้ สร้างความสำเร็จให้เด็ก การศึกษาของเราประสบความสำเร็จตาม ไม่ใช่การออกข้อสอบยากให้เด็กทำไม่ได้โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าเราสอบไปเพื่ออะไร

มาถึงตรงนี้ ผมไม่ได้บอกว่าระบบสอบคัดเด็กเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศไทยนั้นไม่ดี หลายๆ เรื่องเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและ ผลักดันต่อ ทั้งการสอบ Admission ปีละ2ครั้ง เป็นแนวทางที่ดีช่วยลดความกดดันของเด็กลงได้มาก, การประกาศคะแนนก่อนแล้วค่อยเลือกคณะ ก็เป็นการจัดระบบที่ทำให้เด็กสามารถเลือกในสิ่งที่ตรงกับความถนัดและความสามารถของตนเองได้มากขึ้น รวมถึง การรับตรงก็เป็นนโยบายที่ถูกทาง ที่ทำให้คนอยู่ในท้องถิ่น เด็กๆ มีความสนใจและภาคภูมิใจที่จะได้เรียนมหาวิทยาลัย ในท้องถิ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมา รวมทั้งเป็นการกระจายคนเก่งไม่ให้เกิดการกระจุกตัวที่มหาวิทยาลัยหนึ่งๆ มากเกินไป

ประเด็นสำคัญที่ต้องปรับเปลี่ยน เปลี่ยนเพียงเล็กน้อยแต่ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างมาก คือ การใช้การสอบมาตรฐานกลางซึ่งมีอยู่แล้ว โดยสามารถยื่นคะแนนได้กับทุกคณะ ทุกมหาวิทยาลัย ลดการจัดสอบกันเองของแต่ละมหาวิทยาลัย การทำแบบนี้จะลดการสอบที่ไม่จำเป็น เด็กเองจะรู้คะแนนก่อน ได้คะแนนเท่านี้ควรนำไปยื่นที่คณะไหน มหาวิทยาลัยใดที่เหมาะกับตัวเอง เป็นการลดความกดดันของเด็ก ลดการเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสทางการศึกษา ไม่เสียเวลาเตรียมตัวสอบหลายที่ ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ปกครองจากค่าสอบและค่าเดินทาง

อีกประเด็นหนึ่ง คือ ถ้าถามว่าแก่นของการสอบที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน มันคือกระบวนการสร้างความรู้ให้เด็ก มันคือการคัดคนจากความรู้ที่เราสร้างให้ ดังนั้นเราควรสร้างค่านิยมใหม่ เปลี่ยน "ความยากเกินไป" ซึ่งใช้วัดอะไรไม่ได้ มาเป็น "ความยากในระดับมาตรฐาน" ซึ่งใช้วัด "ความสามารถที่แท้จริงของเด็ก" เพื่อคัดเลือกเด็กเข้าคณะที่เหมาะสมกับความสามารถของเด็ก

ยุทธศาสตร์ที่ดีของการแก้ปัญหาต้องให้หนักและตรงประเด็น หลายคนชอบพูดว่าการศึกษาไทยแก้ไม่ได้ ผมว่าไม่ใช่ มันแก้ได้ สิ่งที่เสนอไม่ได้ยากแค่สองข้อ

หนึ่ง คือ ใช้การสอบมาตรฐานกลางที่มีอยู่แล้วยื่นได้หลายคณะ ไม่ต้องเปลืองพลังเยอะ และ สอง คือ การปรับเปลี่ยนการออกข้อสอบให้มีความยากระดับมาตรฐาน ไม่ยากจนเกินไป ที่วัดความสามารถของเด็กได้จริง

สิ่งเหล่านี้ทำได้ง่ายกว่าที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่ เราจะเสียสละผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ ถ้าช่วยกันทำ มันก็แก้ได้ แล้วสุดท้ายพวกเราทุกคนจะพบกับคำตอบร่วมกันว่า เราไม่ได้สอบเพื่อสร้างความกดดันให้เด็ก เราไม่ได้สร้างกิจกรรมที่มันไม่เกิดมูลค่า แต่เราสอบเพื่อสร้างกระบวนการให้ความรู้เด็ก เราสอบเพื่อคัดเลือกเด็กไปพัฒนาต่อได้อย่างฉลาดและมีประสิทธิภาพ..

นี่แหละครับ คำตอบว่า เราสอบไป เพื่ออะไร?

สอบเพื่อคัดเลือกเด็กไปพัฒนาต่อได้อย่างฉลาดและมีประสิทธิภาพ
 

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 20 กันยายน 2558


เราสอบไปเพื่ออะไร?

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

ปัจจัยฉุดรั้งการศึกษา (1)

ปัจจัยฉุดรั้งการศึกษา (1)


เปิดอ่าน 12,473 ครั้ง
การศึกษาปัญหาที่แก้ไม่ตก

การศึกษาปัญหาที่แก้ไม่ตก


เปิดอ่าน 8,835 ครั้ง
Smart Thailand

Smart Thailand


เปิดอ่าน 8,963 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

ปฏิรูปการศึกษา ติดอาวุธครูสอนคิด

ปฏิรูปการศึกษา ติดอาวุธครูสอนคิด

เปิดอ่าน 9,155 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด ตอนที่ 10 : เมื่อโรงเรียนเป็นนิติบุคคลแล้วประชาชนได้อะไร
เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด ตอนที่ 10 : เมื่อโรงเรียนเป็นนิติบุคคลแล้วประชาชนได้อะไร
เปิดอ่าน 10,130 ☕ คลิกอ่านเลย

ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ นโยบายปฏิรูปที่ใกล้ตัวนักเรียนมากที่สุด
ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ นโยบายปฏิรูปที่ใกล้ตัวนักเรียนมากที่สุด
เปิดอ่าน 9,860 ☕ คลิกอ่านเลย

อกคศ.เขตพื้นที่ฯ เลื่อนเงินเดือนครู : ต้อนคนเข้าพวก
อกคศ.เขตพื้นที่ฯ เลื่อนเงินเดือนครู : ต้อนคนเข้าพวก
เปิดอ่าน 29,342 ☕ คลิกอ่านเลย

การศึกษาไทย 2.0
การศึกษาไทย 2.0
เปิดอ่าน 13,025 ☕ คลิกอ่านเลย

การศึกษาแบบไหนสอนให้คิดเป็น
การศึกษาแบบไหนสอนให้คิดเป็น
เปิดอ่าน 17,432 ☕ คลิกอ่านเลย

การเรียนรู้ตลอดชีวิต คืออะไรและสำคัญตรงไหน แล้วเกี่ยวอะไรกับปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
การเรียนรู้ตลอดชีวิต คืออะไรและสำคัญตรงไหน แล้วเกี่ยวอะไรกับปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
เปิดอ่าน 76,322 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

สัตว์ในป่าชายเลน
สัตว์ในป่าชายเลน
เปิดอ่าน 196,684 ครั้ง

ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ - Linux
ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ - Linux
เปิดอ่าน 25,697 ครั้ง

ตอบโจทย์ "ปฏิรูปการศึกษา"?
ตอบโจทย์ "ปฏิรูปการศึกษา"?
เปิดอ่าน 8,084 ครั้ง

คู่มือการใช้งานบัตรเครดิตราชการ
คู่มือการใช้งานบัตรเครดิตราชการ
เปิดอ่าน 13,130 ครั้ง

7 ยี่ห้อน้ำดื่มไฮโซ แพงที่สุดในโลก
7 ยี่ห้อน้ำดื่มไฮโซ แพงที่สุดในโลก
เปิดอ่าน 27,891 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ