"ดาว์พงษ์" กำชับเขตพื้นที่ฯ ดำเนินนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มกิจกรรม ไม่เน้นจำนวนโรงเรียนที่ทำตาม แต่ให้ความสำคัญกับความพร้อมเป็นหลัก ย้ำคุณภาพการเรียนต้องไม่ได้รับผลกระทบ เพื่อตอบโจทย์สังคมเด็กเห็นพัฒนาการดีขึ้น ด้าน "กมล" เตรียมหารือ สมศ.-สทศ.ปรับรูปแบบประเมิน
พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดการประชุมและมอบนโยบายผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ตนอยากให้ทุกเขตพื้นที่ฯ ทำความเข้าใจนโยบาย ศธ.อย่างถ่องแท้ เพื่อถ่ายทอดไปสู่โรงเรียนให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการจัดการศึกษาให้เด็กมีความสุข ครูมีความสุข และผู้ปกครองมีความสุข และในส่วนของนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ถือเป็นภารกิจหลักที่ทุกเขตพื้นที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะต้องไปหากิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะผู้เรียน เพื่อลดความเป็นกังวลของผู้ปกครอง ว่าเมื่อลดเวลาเรียนจะทำให้บุตรหลานของตนเองเรียนไม่เต็มที่ ไม่สามารถแข่งขันในการสอบได้ นอกจากนั้นกิจกรรมดังกล่าวจะต้องตอบโจทย์สังคมด้วยว่าจะพัฒนาเด็กในด้านใด
"ผมไม่สนใจตัวเลขของโรงเรียนที่จะเข้าร่วมนำร่องในนโยบายนี้ว่าจะต้องได้ 10% หรือ 3,100-3,500 โรงจาก 38,000 โรงทั่วประเทศตามที่กำหนด และ สพฐ.ไม่จำเป็นต้องไปไล่บี้ให้โรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรม เพราะผมต้องการโรงเรียนที่มีความพร้อมในการปฏิบัติจริงๆ ต้องสร้างความมั่นใจให้นักเรียนและผู้ปกครอง ว่าแม้จะลดเวลาเรียน แต่คุณภาพการศึกษา การเรียนรู้วิชาการยังคงความสำคัญและเข้มข้นเหมือนเดิม" รมว.ศธ.กล่าว
ด้านนายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวว่า ตนเตรียมเสนอรูปแบบกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ให้ รมว.ศธ.พิจารณา ในวันที่ 9 กันยายนนี้ ซึ่งรูปแบบกิจกรรมแบ่งออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1.กิจกรรมที่จัดตามวิชาหลัก 2.เปิดชมรมเลือกเสรี 3.สอนการบ้านหรือสอนเสริม และ 4.สอนอาชีพและภูมิปัญญาท้องถิ่น นอกจากนี้ จะหารือกับสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพทางการศึกษา (สมศ.) และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เพื่อปรับรูปแบบการประเมินใหม่ให้เหมาะสมกับรูปแบบกิจกรรมลดเวลาเรียน
สำหรับการปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน พล.อ.ดาว์พงษ์กล่าวว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นในทุกกระทรวง แต่ตนไม่ชอบให้ใครมาดูถูกกระทรวงในเรื่องนี้ ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกัน โดยเฉพาะระบบการเรียกรับผลประโยชน์ ตนไม่โทษใครฝ่ายเดียว เพราะการเมืองบ้านเราต้องใช้เงินในการคงอยู่และก้าวต่อไป ข้าราชการที่ไม่ยอมก็ถูกเล่นงานแบบลงนรก และจมดินเป็นวนเวียนอยู่แบบนี้ รวมถึงที่ผ่านมามีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยเฉพาะเรื่องสีเสื้อ ดังนั้นครูจะต้องสอนเด็กให้รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด ซึ่งเรามีครูอยู่ 400,000 คนทั่วประเทศ หากครู 1 คนสอนเด็กในเรื่องนี้ได้ 40 คน ก็จะช่วยสร้างคนรุ่นใหม่ที่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่ถูกชี้นำได้เป็นสิบล้านคน
ที่มา ไทยโพสต์ วันที่ 8 กันยายน 2558