ศธ.เล็งใช้กฎหมายป.ป.ช.สางคดีเก่า
“ณรงค์”เล็งใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี58 สะสางคดีคอรัปชั่น ค้างเก่า เผยย้ำทุกนัดการประชุมต้องปราศจากปัญหาการทุจริต ลั่นจับได้จัดการขั้นเด็ดขาด
วันนี้( 14 ก.ค.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่มีการประกาศ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ฉบับที่3) พ.ศ.2558 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ถือว่ากฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทันที ซึ่งในส่วนของ ศธ.ตนได้ย้ำทุกครั้งที่มีการประชุม ว่า การดำเนินการต่าง ๆ จะต้องปราศจากปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละคนด้วย บางคนอาจจะติดว่า ถ้าทำแล้วไม่ถูกจับได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าถูกจับได้ตนก็จะจัดการเต็มที่
“ที่ผ่านมาในส่วนของ ศธ.มีหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และมีความล่าช้า ซึ่งผมจะไปดูรายละเอียดข้อกฎหมายดังกล่าว ว่าสามารถนำมาใช้ในการสอบสวนเรื่องที่ยังค้างอยู่ได้หรือไม่ ยอมรับว่า บางเรื่องค้างมาหลายปี และมีการขอขยายเวลาไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นปัญหา เพราะที่ผ่านมา ศธ.ไม่สามารถไปควบคุมคณะกรรมการสอบสวนชุดต่าง ๆ ได้” รมว.ศึกษาธิการกล่าว
สำหรับประเด็นที่สำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ มาตรา 123/2 บัญญัติว่าผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท หรือประหารชีวิต และ มาตรา 123/3 บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ กระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งในตําแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท.“
อ่านต่อที่ : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 14 ก.ค.2558