"ณรงค์" เผย ธ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แจงเช็คเงินสด 2,100 ล้านบาท เบิกจ่ายไม่ได้ ระบุ สกสค.ยังไม่ฟ้อง บ.บิลเลี่ยนฯ ขอดูท่าทีหลังได้รับหนังสือทวงเงินคืน ชี้หากไม่ตอบกลับต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนกรณีดีเอสไอ แถลงยังหลักทรัพย์ 7 รายการปลอมทำตามอำนาจ เล็งหารือนิติกร ในส่วน ศธ.ควรทำอะไรต่อ
วันนี้ (5 มิ.ย.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ได้ทำหนังสือตอบเป็นลายลักษณ์อักษรมาแล้วว่า เช็คเงินสดจำนวน 2,100ล้านบาท ที่ทางบริษัท บิลเลี่ยนฯนำมาเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ค้ำประกันการแลกซื้อตั๋วเงินกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการ (สกสค.) นั้น ไม่มีจำนวนเงินอยู่จริง ส่วนจะเป็นเช็คเด้งหรือไม่นั้นตนคงไม่สามารถพูดได้ แต่เมื่อเช็คไม่มีเงินอยู่ในธนาคารก็ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ตรงนี้ก็ชัดเจนว่าหมายความว่าอย่างไร เบื้องต้นก็ได้มีคำสั่งเลิกจ้างนายสมศักดิ์ ตาไชย อดีตเลขาธิการ สกสค.ไปแล้ว เพราะถือว่าที่ผ่านมาไม่ได้พยายามรักษาผลประโยชน์ของหน่วยงาน ขณะเดียวกันมอบหมายให้นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ทำหนังสือถึงบริษัท บิลเลี่ยนฯขอให้คืนเงินทั้งหมดจำนวน 2,500ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7%โดยขณะนี้จะยังไม่ฟ้องร้องทางบ. บิลเลี่ยนฯ เพราะทางเราอยากได้เงินคืนทันทีพร้อมดอกเบี้ย ขอให้ทางบ.บิลเลี่ยนฯติดต่อกลับมา แต่ถ้ายังไม่มีการตอบกลับก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมาย
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ออกมาเปิดเผยข้อมูลหลักทรัพย์ค้ำประกัน 7 รายการพบว่า 1.ตั๋วแลกเงิน (ดราฟต์) ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้(HSBC) จำนวน 100 ล้านเหรียญ เป็นเอกสารปลอม 2.ใบค้ำประกันของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 3 ฉบับ เชื่อว่าเป็นเอกสารปลอม 3.ใบหุ้นสโมสรฟุตบอลเรดิง ประเทศอังกฤษ มูลค่า 50 ล้านปอนด์ พบข้อมูลว่านายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา เจ้าของบริษัทบิลเลี่ยนฯ ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้น 4.เงินสกุลคูนาโครเอเชีย จำนวน 950 ล้านคูนา มีการยกเลิกใช้แล้ว 5.โฉนดที่ดิน 33 แปลงและนส.3 จำนวน 16 แปลง มูลค่าประเมิน 37 ล้านบาท อยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร รวมถึงมูลค่าที่แท้จริง 6.เช็คธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 2,100 ล้านบาท อยู่ระหว่างตรวจสอบ และ7.สัญญาค้ำประกันตนเองของนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ต้องมีการสอบปากคำ นายสัมฤทธิ์ พร้อมกันนี้ดีเอสไอระบุว่าการดำเนินการของอดีตคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ สกสค.ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติและร่วมดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินกับบ.บิลเลี่ยนฯ เป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งได้เตรียมสรุปสำนวนผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ประมาณ 10 ราย ส่ง ป.ป.ช. รวมถึงดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงินและดำเนินคดีอาญาด้วยนั้น ถือเป็นอำนาจของดีเอสไอในการตรวจสอบ เพราะทางศธ.ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ในส่วนของศธ.เองก็ต้องดำเนินการตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะปรึกษากับฝ่ายนิติการให้รอบคอบก่อนว่าจะดำเนินการอะไรได้บ้าง เพราะเรื่องนี้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติต้องมีส่วนรับผิดชอบ ทั้งนายสมศักดิ์ อดีตเลขาธิการสกสค. นายเกษม กลั่นยิ่ง อดีตประธานบริหารเงินกองทุนสนับสนุนฯ รวมถึงคณะกรรมการกองทุนฯทั้งหมด ซึ่งต้องไปดูรายงานการประชุมรวมถึงหลักฐานเอกสารต่างๆย้อนหลังประกอบด้วย ส่วนเรื่องนี้จะมีข้าราชการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้น ก็คงต้องตรวจสอบ ถ้ามีจริงก็คงต้องดำเนินการตามขั้นตอน
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 5 มิถุนายน 2558