"สุรินทร์ พิศสุวรรณ" ชี้ไทยต้องเร่งฟิตภาษาหากไม่อยากรั้งท้ายอาเซียน เผยการทุจริตในระบบการศึกษาไทยน่าเป็นห่วง
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จัดการประชุมวิชาการเรื่องการศึกษาผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการศึกษาของอาเซียนต่อการจัดการศึกษาเอกชนของไทย โดยภายในงานมีการแสดงปาฐกถาพิเศษของนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ประธานสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย ภายใต้หัวข้อ "โอกาสในการลงทุนจัดการศึกษาเอกชนของไทยในประเทศสมาชิกอาเซียน และการเตรียมความพร้อมในการจัดการศึกษาเอกชนของไทยสำหรับการเปิดเสรีด้านการศึกษาของอาเซียน"
โดยนายสุรินทร์กล่าวตอนหนึ่งว่า เรื่องของการศึกษาถือเป็นจุดเริ่มต้นในทุกๆ เรื่อง หากกล่าวถึงระบบการศึกษาของไทย เรื่องที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเรื่องทักษะภาษาต่างประเทศของคนไทย เพื่อแสดงถึงศักยภาพที่ไทยมี และกลุ่มวิชาชีพที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ระหว่างประเทศสมาชิกส่วนใหญ่แล้ว เป็นวิชาชีพสายบริการ ต้องมีการสื่อสารทำความเข้าใจ หากไม่มีทักษะด้านภาษาก็ไม่มีผล ซึ่งภาษาต่างประเทศในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาที่เป็นที่นิยม อาทิ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เป็นต้น ตนทราบมาว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มสมาชิกอาเซียนให้ความสนใจศึกษาในภาษาไทยมากกว่าที่เราจะเข้าไปเรียนรู้ภาษาของเขา แต่ประเทศของเราเองยังรีรอและลังเล รู้สึกว่าการเรียนรู้ภาษาประเทศเพื่อนบ้านยังไม่จำเป็น หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ ประเทศไทยจะอยู่ในจุดที่จะคับขันในการเรื่องการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งที่เรามีเวลาในการเตรียมตัวพอกับประเทศอื่นๆ
"หากภาษาอังกฤษของประเทศเราดีขึ้นกว่านี้สัก 25% ผมเชื่อว่าพรุ่งนี้ความสามารถในการแข่งขันของคนไทยจะสูงขึ้นมาก เพราะทุกประเทศยอมรับในแง่ของทักษะ ความรู้ความสามารถของคนไทยอยู่แล้ว ขาดเพียงการสื่อสารเท่านั้น ประเทศที่ไม่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษก็พัฒนาภาษาอังกฤษได้จนมีทักษะดีขึ้น ผมว่าคนไทยอาจจะต้องลดความมั่นใจในระบบ มาตรการและวิธีการพัฒนาภาษาอังกฤษของเราลงสักนิดนึง เราต้องเปิดตัวเองเพื่อเรียนรู้และศึกษาสร้างความพร้อมเพื่อที่จะอยู่ในประชาคมอาเซียนแบบประเทศอื่นๆ"
นายสุรินทร์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ประเทศไทยยังต้องปรับเรื่องคุณภาพและระบบการศึกษา ต้องยอมรับว่าภาคเศรษฐกิจของไทยใหญ่อันดับสองของอาเซียน และมีความหลากหลายมาก แต่ไทยไม่ค่อยสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะมารองรับภาคเศรษฐกิจมากนัก ไม่มีเศรษฐกิจไหนที่จะยืมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของคนอื่นมาใช้ และจะแข่งขันกับคนอื่นได้ ต้องบอกว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นกระทรวงที่งบประมาณมากที่สุด สำหรับเรื่องการทุจริตใน (ศธ.) นั้น ตนมองว่าน่าเป็นห่วง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะผู้วิจัยได้สรุปผลกระทบที่จะเปิดเสรีทางการศึกษาของอาเซียนต่อการจัดการศึกษาเอกชนของไทย โดยสรุปว่า ภาพรวมสถานศึกษาเอกชนที่จัดการศึกษามีมาตรฐานสากล อาทิ โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย และโรงเรียนในเครือศาสนาคริสต์ จะสามารถแข่งขันต่อไปได้ ในขณะที่โรงเรียนปานกลางและโรงเรียนที่อ่อนแอต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และมีผลให้โรงเรียนที่อ่อนแอส่วนหนึ่งถอดใจจนต้องยุบเลิกกิจการ ซึ่งจะมีประมาณ 10-30% ขึ้นอยู่กับมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ และความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการ ส่วนโอกาสในการจัดการศึกษาในระบบมีน้อย เพราะคุณภาพการศึกษาไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ที่โดดเด่นคือหลักสูตรระยะสั้นด้านการบริการ อาทิ อาหาร สปา นวดแผนไทย เป็นต้น
ที่มา ไทยโพสต์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2558