"สมศักดิ์"ท้า!ไม่รับอำนาจศธ. ลั่น"สกสค."มิได้มีฐานะเป็น"กรม"
"สมศักดิ์" ส่งจดหมายเปิดผนึกชี้แจง จะกล่าวหาใครและให้ใครรับผิด ต้องยืนบนหลักของกฎหมาย ประกาศกร้าว สกสค.ไม่ใช่กรมใน ศธ. เลขาฯ สกสค.ไม่ใช่อธิบดี หน้าที่และความรับผิดชอบขึ้นตรงตามกฎหมายและระเบียบที่ใช้ในองค์กร สกสค.เท่านั้น เผลอยอมรับ สกสค.ได้รับงบจาก ศธ. แต่ไม่พอใช้ ส่วนเงินลงทุนใน บ.บิลเลี่ยนฯ 2.1 พัน ล. เป็นของ ช.พ.ค. ไม่ใช่ของ สกสค.
นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัด ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (เลขาฯ สกสค.) ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเอกสารที่นายสมศักดิ์ ตาไชย อดีตเลขาฯ สกสค. ขอเพื่อคัดสำเนาจากสำนักงาน สกสค. ว่า สิ่งที่คณะกรรมการ สกสค.ต้องการให้นายสมศักดิ์ชี้แจงเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ตรวจพบทั้ง 6 รายการ ได้แก่ 1.เงินสกุลคูนาของโครเอเชีย จำนวนประมาณ 1,000 ล้านคูนา 2.เช็คเงินสด จำนวน 2,100 ล้านบาท 3.ดราฟต์หรือตั๋วแลกเงิน ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4.โฉนดที่ดินที่จังหวัดเพชรบุรี ราคาประเมินประมาณ 30 ล้านบาท 5.หนังสือสัญญาค้ำประกันตัวเอง และ 6.หุ้นสโมสรฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งต้องการทราบว่าได้มาอย่างไร แล้วใครเป็นคนรับทรัพย์สินไว้แล้ว ได้มีการตรวจสอบหรือไม่ แต่ประเด็นที่นายสมศักดิ์ขอคัดสำเนาเอกสารค่อนข้างไม่ตรงกับเรื่องที่คณะกรรมการ สกสค.ต้องการให้ชี้แจง ก็ต้องพิจารณาดู เพราะหากให้ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวก็เหมือนกับการซื้อเวลา
ในวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ได้ทำจดหมายเปิดผนึก ลงวันที่ 26 พ.ค.2558 มีเนื้อหาสำคัญว่า หลังจาก คสช.สั่งให้ 3 ตำแหน่งคือ เลขาฯ คุรุสภา, เลขาฯ สกสค. และ ผอ.องค์การค้าของ สกสค. หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว เพื่อการตรวจสอบกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการโกงกันเป็นพันๆ ล้าน ซึ่งมากกว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งที่นำเงิน 1,600 ล้านบาทมาแบ่งกัน และเป็นคดีอยู่ในปัจจุบัน ผลการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบการทุจริต แต่ต้องปลดทั้ง 3 ตำแหน่งดังกล่าวให้ได้ และตั้งคนของตนเองตามวิธีการพิเศษโดยไม่ต้องผ่านการสรรหาตามกฎหมายและระเบียบเดิม ซึ่งนายพินิจศักดิ์ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาแก้ไขกฎหมายและระเบียบรอแล้ว โดยประเดิมตำแหน่งแรกอ้างมติคณะกรรมการคุรุสภา เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2559 ปลดนายอำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคุรุสภา โดยอ้างเหตุว่าไม่มาทำงาน
นายสมศักดิ์ระบุอีกว่า เป้าหมายตำแหน่งที่สองคือ ปลดเลขาฯ สกสค. มีการปูข่าวผ่านสื่อโดยปลัด ศธ.ว่ามีการทุจริตทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ในการก่อสร้างศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เชียงใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโครงการราคา 500 ล้านบาท แต่จ้างเพียง 360 ล้านบาท จะเป็นการทุจริตไปได้อย่างไร ส่วนการแก้ไขแบบ เนื่องจากโยธาจังหวัดทักท้วงให้เพิ่มความแข็งแรงของฐานรากเพื่อรองรับภัยพิบัติ ปัจจุบันเงินค่าจ้างจำนวน 360 ล้านบาท ก็ยังเหลืออยู่ครบ ขณะนี้ได้มีการบอกเลิกจ้าง เพราะผู้จ้างทำงานไม่เสร็จตามสัญญา ก็เป็นเรื่องที่คณะกรรมการ สกสค.ชุดปัจจุบันต้องรับผิดชอบดำเนินการต่อ ตามกำหนดการเดิมจะนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการ สกสค. เพื่อปลดเลขาฯ สกสค. ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2558
"แต่ก่อนปลดเลขาฯ สกสค.นั้น ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประธานคณะกรรมการ สกสค. ได้แจ้งให้ผมชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารหลักฐานเรื่องการพบหลักทรัพย์ของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ที่ห้องรองเลขาฯ สกสค. ภายในวันที่ 8 พ.ค.2558 แต่ปัจจุบันผมไม่อยู่ในตำแหน่ง ไม่มีเอกสารหลักฐานในมือ จึงจำเป็นต้องขอเอกสารหลักฐานทั้งหมดประกอบคำชี้แจง ซึ่งผมได้ขอเอกสารไปตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2558 จนบัดนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ" จดหมายของนายสมศักดิ์ระบุ
นายสมศักดิ์แจงต่อว่า นายพินิจศักดิ์ได้แจ้งให้ตนไปชี้แจงด้วยวาจา ไม่ต้องเอาเอกสารประกอบคำชี้แจง โดยแจ้งให้ชี้แจงเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งนายพินิจศักดิ์แจ้งให้ชี้แจงต่อคณะกรรมการตรวจสอบที่มีนายเอกศักดิ์ คงตระกูล เป็นประธาน และให้ทำหนังสือชี้แจงสถานการณ์ไปอีก 7 เดือนข้างหน้า คือวันที่ 26 ธ.ค.2558 โดยตนยืนยันว่าต้องการใช้เอกสารหลักฐานประกอบคำชี้แจง เพราะเป็นการนิติกรรมสัญญาตามกฎหมาย เป็นเรื่องทางการเงินการคลัง ทุกรายชื่อที่เข้าประชุม ทุกคำพูดในรายงานการประชุม ทุกลายมือชื่อในนิติกรรม ย่อมมีความสำคัญนำไปสู่ความรับผิดชอบตามกฎหมายทั้งสิ้น ซึ่งจนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับเอกสารตามที่ขอ
นายสมศักดิ์อ้างอีกว่า ทั้งนี้ในส่วนการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัท บิลเลี่ยนฯ จำนวน 2,100 ล้านบาท เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินของ สกสค. ในแต่ละปี สกสค.ได้รับเงินจาก ศธ. เพียงปีละ 200 กว่าล้านบาทเท่านั้น และไม่พอจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน สกสค.ทั้งในส่วนกลางและทั่วประเทศ แต่เงินดังกล่าวเป็นเงินของกองทุน ช.พ.ค. ซึ่ง สกสค.ไม่เคยให้เงินกองทุน ช.พ.ค. ในทางกลับกัน สกสค.จำเป็นต้องขอเงินกองทุนฯ มาจ่ายเงินเดือนให้พนักงานปีละ 400 กว่าล้านบาท ในการลงทุนของกองทุนฯ ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจาก บ.บิลเลี่ยนฯ จำนวน 2,100 ล้านบาท ก็เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินปกติ เป็นเรื่องตามกฎหมายแพ่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เป็นการโกงเงินจากกองทุนฯ แล้วเอามาแบ่งกันระหว่างกรรมการฯ มีลูกหนี้ตามกฎหมายที่ดำเนินการได้ตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการ สกสค.ชุดปัจจุบันจะต้องดำเนินการกับลูกหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เรียกเงินต้น 2,100 ล้านบาท คืนให้กองทุน ช.พ.ค. ไม่ใช่คืนให้กับ สกสค. เพราะไม่ใช่เงิน สกสค.แต่ต้น
"หากคณะกรรมการ สกสค.ตรวจสอบหลักทรัพย์ของบริษัท บิลเลี่ยนฯ พบว่าเป็นหลักทรัพย์ปลอม ก็ต้องตั้งข้อหาและดำเนินการคดีอาญาเอากับคนที่ปลอม และตั้งข้อหาโกงกับเจ้าหนี้ก่อน เพราะขณะนี้ความเป็นเจ้าหนี้ของกองทุนฯ ยังมีครบสมบูรณ์ตามกฎหมาย"
นายสมศักดิ์ระบุอีกว่า กรณีจะมีการกล่าวหาใครและให้ใครรับผิด ต้องยืนบนหลักของกฎหมายของตำแหน่งแต่ละคนตามกฎหมายในแต่ละองค์กร ซึ่ง สกสค.ไม่ใช่กรมใน ศธ. และเลขาฯ สกสค.ไม่ใช่อธิบดี หน้าที่และความรับผิดชอบของเลขาฯ สกสค. จึงถูกจำกัดตามกฎหมายและระเบียบที่ใช้ในองค์กร สกสค.เท่านั้น
"ผมพร้อมที่จะเข้ารับการตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมสากลจากทุกองค์กรในระบบราชการ แต่ผมขอเอกสารทุกรายการที่ได้ยื่นคำขอต่อ รมว.ศธ. เพื่ออธิบายความจริงที่เกิดขึ้นใน สกสค.ให้กับคณะกรรมการทุกคณะและเพื่อนครูทั่วประเทศได้ทราบนับแต่วันที่ 17 เมษายน 2558 จนถึงปัจจุบันเกิดอะไรขึ้นใน สกสค.".
ที่มา ไทยโพสต์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2558
Advertisement
"สมศักดิ์" ร่อนจม.แจงปม สกสค.ลั่นได้เอกสารครบตามขอ พร้อมให้ข้อมูล
“สมศักดิ์” เลขาธิการ สกสค. ร่อนจดหมายแจง ยันพร้อมให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล เบื้องต้นมีการนัดหมายให้เข้าชี้แจงทางวาจาวานนี้และขอให้เขียนเอกสารแจงล่วงหน้าไว้ 7 เดือนด้วย ยันต้องได้เอกสารและข้อมูลตามที่ร้องขอไปยัง รมว.ศึกษาธิการ แฉ! มีการเตรียมเสนอบอร์ด สกสค.เลิกจ้างเลขาธิการ สกสค.ตั้งแต่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา
วันนี้ (26 พ.ค.) รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่ นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการ ศธ.ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเอกสารที่ นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สกสค.ขอเพื่อคัดสำเนาจากสำนักงาน สกสค. ว่า สิ่งที่คณะกรรมการ สกสค.ต้องการให้นายสมศักดิ์ ชี้แจงเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ตรวจพบทั้ง 6 รายการ ได้แก่
1. เงินสกุลคูนา ของโครเอเชีย จำนวนประมาณ 1,000 ล้านคูนา
2. เช็คเงินสด จำนวน 2,100 ล้านบาท
3. ดราฟหรือตั๋วแลกเงิน ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
4. โฉนดที่ดินที่จังหวัดเพชรบุรี ราคาประเมินประมาณ 30 ล้านบาท
5. หนังสือสัญญาค้ำประกันตัวเอง และ
6. หุ้นสโมสรฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ซึ่งต้องการทราบว่าได้มาอย่างไร แล้วใครเป็นคนรับทรัพย์สินไว้แล้วได้มีการตรวจสอบหรือไม่ แต่ประเด็นที่ นายสมศักดิ์ ขอคัดสำเนาเอกสารค่อนข้างไม่ตรงกับเรื่องที่คณะกรรมการ สกสค.ต้องการให้ชี้แจง อย่างไรก็ตาม หากการขอคัดสำเนาเพื่อใช้ประกอบการชี้แจงในประเด็นที่นายสมศักดิ์ ต้องการชี้แจงนั้นอาจจะพิจารณาให้ได้ แต่เมื่อครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องมาดูเพราะไม่เช่นนั้นก็เหมือนการซื้อเวลากันไป
ในวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ ได้ทำจดหมายเปิดผนึกลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 ส่งผ่านไปยังสื่อมวลชนสำนักต่างๆ มีเนื้อหาสำคัญ ว่า หลังจาก คสช.สั่งให้สามตำแหน่งคือ เลขาธิการคุรุสภา,เลขาธิการ สกสค. และผอ.องค์การค้า ของสกสค. หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวเพื่อการตรวจกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการโกงกันเป็นพันๆล้าน ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบการทุจริต แต่ต้องปลดทั้งสามตำแหน่งดังกล่าวให้ได้และตั้งคนของตนเองตามวิธีการพิเศษ โดยไม่ต้องผ่านการสรรรหาตามกฎหมายและระเบียบเดิม ซึ่ง นายพินิจศักดิ์ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาแก้ไขกฎหมายและระเบียบรอแล้ว โดยประเดิมตำแหน่งแรกอ้างมติคณะกรรมการคุรุสภา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 ปลดนายอำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคุรุสภา โดยอ้างเหตุว่าไม่มาทำงาน
เป้าหมายตำแหน่งที่สองคือ ปลดเลขาธิการ สกสค.ซึ่งมีการให้ข่าวมีการทุจริตทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำในการก่อสร้างศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เชียงใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าโครงการราคา 500 ล้านบาทแต่จ้างเพียง 360 ล้านบาทมันจะเป็นการทุจริตไปได้อย่างไร ส่วนการแก้ไขแบบเนื่องจากโยธาจังหวัดเชียงใหม่ทักท้วงให้เพิ่มความแข็งแรงของฐานรากเพราะจังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ และปัจจุบันเงินค่าจ้างจำนวน 360 ล้านบาทก็ยังเหลืออยู่ครบ และเมื่อผู้รับจ้างทำงานไม่เสร็จตามสัญญาฯขณะนี้ได้มีการบอกเลิกจ้าง ก็เป็นเรื่องที่คณะกรรมการ สกสค.ชุดปัจจุบันต้องรับผิดชอบดำเนินการต่อ
ทั้งนี้ เดิมในการประชุมคณะกรรมการ สกสค.เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 จะมีการเสนอให้ปลดเลขาธิการ สกสค.แต่เนื่องจาก รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการ สกสค.ได้แจ้งให้ผมชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารหลักฐานเรื่องการพบหลักทรัพย์ของ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัดที่ห้องรองเลขาธิการ สกสค.ภายในวันที่ 8 พฤษภาคม 2558 แต่ปัจจุบันผมไม่อยู่ในตำแหน่ง ไม่มีเอกสารหลักฐานในเมืองจึงจำเป็นต้องขอเอกสารหลักฐานทั้งหมดประกอบคำชี้แจง เมื่อได้เอกสารหลักฐานทั้งหมดตามที่ขอผมก็พร้อมชี้แจง ซึ่งผมได้ขอเอกสารไปตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2558 จนบัดนี้ยังไม่ได้รับคำตอบว่าจะให้หรือไม่ให้
ขณะที่ นายพินิจศักดิ์ ได้แจ้งให้ผมไปชี้แจงด้วยวาจาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผานมาโดยไม่ต้องเอาเอกสารประกอบคำชี้แจงและแจ้งให้ชี้แจงต่อคณะกรรมการตรวจสอบที่มีนายเอกศักดิ์ คงตระกูล เป็นประธาน และให้ทำหนังสือชี้แจงสถานการณ์ไปอีก 7 เดือนข้างหน้าคือวันที่ 26 ธันวาคม 2558 โดยผมยืนยันว่าต้องการใช้เอกสารหลักฐานประกอบคำชี้แจงเพราะเป็นการนิติกรรมสัญญาตามกฎหมาย เป็นเรื่องทางการเงินการคลัง ทุกรายชื่อที่เข้าประชุม ทุกคำพูดในรายงานการประชุม ทุกลายมือชื่อในนิติกรรม ย่อมมีความสำคัญนำไปสู่ความรับผิดชอบตามกฎหมายทั้งสิ้น กรณีนี้จึงจำเป็นต้องมีเอกสารหลักฐานในการชี้แจง ซึ่งจนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับเอกสารตามที่ขอ
ส่วนการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจาก บ.บิลเลี่ยนฯ จำนวน 2,100 ล้านบาท เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินของ สกสค.ในแต่ละปี สกสค.ได้รับเงินจากกระทรวงศึกษาธิการเพียงปีละ 200 กว่าล้านบาทเท่านั้นและไม่พอจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน สกสค.ทั้งในส่วนกลางและทั่วประเทศ แต่เงินดังกล่าวเป็นเงินของกองทุน ช.พ.ค. ซึ่ง สกสค.ไม่เคยให้เงินกองทุน ช.พ.ค. ในทางกลับกัน สกสค.จำเป็นต้องขอเงินกองทุนฯ มาจ่ายเงินเดือนให้พนักงานปีละ 400 กว่าล้านบาท ในการลงทุนของกองทุนฯ ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจาก บ.บิลเลี่ยนฯ จำนวน 2,100 ล้านบาท ก็เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินปกติ เป็นเรื่องตามกฎหมายแพ่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เป็นการโกงเงินจากกองทุนฯแล้วเอามาแบ่งกันระหว่างกรรมการฯ และมีลูกหนี้ตามกฎหมายที่ดำเนินการได้ตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการ สกสค.ชุดปัจจุบันจะต้องดำเนินการกับลูกหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเรียกเงินต้น 2,100 ล้านบาทคืนให้กองทุน ช.พ.ค.ไม่ใช่คืนให้กับ สกสค.เพราะไม่ใช่เงิน สกสค.แต่ต้น
หากคณะกรรมการ สกสค.ตรวจสอบหลักทรัพย์ของ บ.บิลเลี่ยนฯ พบว่าเป็นหลักทรัพย์ปลอม ก็ต้องตั้งข้อหาและดำเนินการคดีอาญาเอากับคนที่ปลอมและตั้งข้อหาโกงกับเจ้าหนี้ก่อน เพราะขณะนี้ความเป็นเจ้าหนี้ของกองทุนยังมีครบสมบูรณ์ตามกฎหมาย ทั้งนี้ กรณีจะมีการกล่าวหาใครและให้ใครรับผิด ต้องยืนบนหลักของกฎหมายของตำแหน่งแต่ละคนตามกฎหมายในแต่ละองค์กร ซึ่ง สกสค.ไม่ใช่กรมใน ศธ.และเลขาธิการ สกสค.ไม่ใช่อธิบดี หน้าที่และความรับผิดชอบของ เลขาธิการ สกสค.จึงถูกจำกัดตามกฎหมายและระเบียบที่ใช้ในองค์กร สกสค.เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผมพร้อมที่จะเข้ารับการตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมสากลจากทุกองค์กรในระบบราชการ แต่ผมขอเอกสารทุกรายการที่ได้ยื่นคำขอต่อ รมว.ศึกษาธิการ เพื่ออธิบายความจริงที่เกิดขึ้นใน สกสค.ให้กับคณะกรรมการทุกคณะและเพื่อนครูทั่วประเทศได้ทราบนับแต่วันที่ 17 เมษายน 2558 จนถึงปัจจุบันเกิดอะไรขึ้นใน สกสค.
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2558