ผลสัมฤทธิ์การศึกษาไทยอาการน่าห่วง
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ชี้ ประเทศไทยใช้เงินลงทุนด้านการศึกษาสูง แต่ผลสัมฤทธิ์น่าเป็นห่วง ที่วิกฤติหนักคือทักษะด้านภาษา เตือนมัวอย่าคิดแบบกาลาปากอสที่ปิดตัวเองไม่ยอมปรับตัว
วันนี้ (26พ.ค.)ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน(สช.) จัดสัมมนาวิชาการโครงการศึกษาผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการศึกษาของอาเซียนต่อการจัดการศึกษาเอกชนของไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง สช.กับมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช โดย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ประธานสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย ปาฐกถาหัวข้อ “โอกาสในการลงทุนจัดการศึกษาเอกชนของไทยในประเทศสมาชิกอาเซียนและการเตรียมความพร้อมในการจัดการศึกษาเอกชนของไทยสำหรับเปิดเสรีทางด้านการศึกษาของอาเซียน” ตอนหนึ่ง ว่า ประเทศไทยใช้งบประมาณ 1 ใน 5 ของงบประมาณประเทศ ลงทุนด้านการศึกษาซึ่งมากกว่าประเทศใดในอาเซียน แต่ผลสัมฤทธิ์ที่ได้อาการน่าเป็นห่วง และในปี 2559 ก็ใช้งบฯกว่าร้อยละ 20 ของงบฯทั้งประเทศจัดการศึกษา จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องยอมรับว่าสิ่งที่วิกฤตมากที่สุดสำหรับประเทศไทย คือขาดทักษะในการสื่อสารภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาหลักของอาเซียน หากเราพัฒนาภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นได้แค่ 25% เชื่อว่าจะสามารถแข่งขันกับประเทศอาเซียนและสากลได้อย่างแน่นอน
"ประเทศไทยอยู่ในบริบทที่เชื่อว่า ไม่จำเป็นต้องปรับตัว ไม่ต้องพึ่งใคร เราไม่เก่งภาษาอังกฤษ เพราะไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบกาลาปากอส ที่ปิดตัวเองไม่ยอมปรับตัว ทำให้ไม่สามารถที่จะแข่งขันกับใครได้ ดังนั้นหากต้องการโอกาสในการแข่งขันและลงทุน ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมใหม่ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว แต่ต้องไปดูโลกภายนอกด้วย และมองว่าหน่วยงานการศึกษาที่พร้อมจะแข่งขันมีเพียงโรงเรียนนานาชาติและมหาวิทยาลัยอินเตอร์เท่านั้น" ดร.สุรินทร์กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามสายโซ่การศึกษาที่อ่อนที่สุด คือ การสร้างคุณภาพ ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา เพราะหากวัตถุดิบไม่ดีคงไม่สามารถสร้างความเป็นเลิศในระดับอุดมศึกษาได้ ทั้งนี้สาขาวิชาชีพที่มีความสำคัญและเหมาะกับเศรษฐกิจไทย คือ สาขาด้านการบริการทั้งการศึกษา สาธารณสุข คมนาคม การท่องเที่ยว มากกว่าการผลิตสินค้า เพราะส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้จะต้องยกระดับด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโยลีและการพัฒนานวัตกรรมทางวิชาชีพ ซึ่งที่ผ่านมาเรายังสนับสนุนไม่เพียงพอรัฐบาลต้องจัดงบฯในส่วนนี้เพิ่ม รวมทั้งต้องมีกองทุนสนับสนุนด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะผู้วิจัยได้สรุปผลกระทบที่จะเปิดเสรีทางการศึกษาของอาเซียนต่อการจัดการศึกษาเอกชนของไทยโดยสรุปว่า ภาพรวมของการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนจะส่งผลให้คุณภาพการศึกษาเอกชนของไทยสูงขึ้น แต่จะทำให้ต้นทุนในการจัดสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักเรียนและผู้ปกครองมีภาระค่าใช้จ่ายในการศึกษามากขึ้นด้วย นอกจากนี้เห็นว่าสถานศึกษาที่จัดการศึกษามีมาตรฐานสากล อาทิ โรงเรียนนานาชาติโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย และโรงเรียนในเครือศาสนาคริสต์จะสามารถแข่งขันต่อไปได้ ในขณะที่โรงเรียนปานกลางและโรงเรียนที่อ่อนแอต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และมีผลให้โรงเรียนที่อ่อนแอส่วนหนึ่งถอดใจจนต้องยุบเลิกกิจการ ซึ่งจะมีประมาณ 10-30%ขึ้นอยู่กับมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐและความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการ ส่วนโอกาสในการจัดการศึกษาในระบบมีน้อย เพราะคุณภาพการศึกษาไม่เป็นที่ยอมรับแต่ที่โดดเด่นคือหลักสูตรระยะสั้นด้านการบริการ อาทิ อาหาร สปา นวดแผนไทย.
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 26 พฤษภาคม 2558