เปิดกรุทรัพย์สิน สกสค. พบนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนหุ้นสโมสรอังกฤษด้วย ด้าน ป.ป.ช.เรียกสอบ 3 ผอ.สกสค. ที่มาที่ไปลงทุนผิดประเภท คาดรู้ผลสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด 15 พ.ค. ด้าน รมว.ศธ.เผยส่งหนังสือถึงเลขาฯ สกสค.เพื่อให้ชี้แจงการดำเนินแล้ว
นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กล่าวว่า ตนได้กำชับให้ทางผู้บริหาร สกสค.ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และศูนย์อำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) รวมถึงคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ตนตั้งขึ้น เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในการติดตามและตรวจสอบทรัพย์ที่สินที่ถูกตรวจพบอยู่ในเซฟ ซึ่งถูกระบุว่าอยู่ในห้องของรองเลขาธิการ 1 คน และระดับผู้อำนวยการสำนัก 1 คน
โดยกำชับให้ทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินและโฉนด รวมไปถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่พบจำนวน 6 ราย คือ 1.เงินสกุลคูนา จำนวนประมาณ 1,000 ล้านคูนา 2.เช็คเงินสด จำนวน 2,100 ล้านบาท 3.ดราฟต์ หรือตัวแลกเงิน ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.โฉนดที่ดิน จ.เพชรบุรี ราคาประเมินประมาณ 30 ล้านบาท 5.หนังสือสัญญาค้ำประกันตัวเอง และ 6.หุ้นสโมสรฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งในส่วนของเช็คเงินสดต้องไปตรวจสอบดูว่าสามารถขึ้นเงินได้หรือไม่ หรือขึ้นเงินไปแล้วกลายเป็นเช็คเด้ง ก็ต้องมาว่ากันตามกระบวนทางกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ตนได้กำชับให้คณะกรรมสอบสวนข้อเท็จจริงตรวจสอบข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อประมวลผลก่อนเสนอให้คณะกรรมการ สกสค.พิจารณาในวันที่ 15 พฤษภาคม ส่วนคณะกรรมการ สกสค.จะตัดสินใจอย่างไร ตนคงไม่สามารถก้าวล่วงได้ เพราะเป็นอำนาจของคณะกรรมการ สกสค.
นายพินิจศักดิ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทาง พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่า ศธ. และ นพ.กำจร ตติยกวี ปลัด ศธ. ได้สั่งการให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ภายในสำนักงาน สกสค. หอพัก และสถานพยาบาลของ สกสค. ว่ามีทั้งหมดกี่ตัว อยู่ในจุดใดบ้าง ที่สำคัญสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นแล้ว กล้องไม่สามารถใช้งานได้จะต้องมีเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
ผู้ตรวจราชการ ศธ.กล่าวอีกว่า ส่วนการตรวจสอบของหน่วยงานอื่นๆ นั้น ขณะนี้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือมายัง สกสค. เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในส่วนต่างๆ เข้าให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง รวมทั้งรายงานเอกสารหลักฐานต่างๆ ต่อ ป.ป.ช. เบื้องต้นทราบว่าได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าให้ข้อมูลแล้วในวันที่ 11 พฤษภาคม จำนวน 3 ราย ได้แก่ นางอำนวยพร วัฒนารมย์ ผู้อำนวยสำนักการคลัง เพื่อขอข้อมูลเรื่องการระบบการเบิกจ่ายงบประมาณ นายพรเทพ มุสิกวัตร ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคุ้มครองสิทธิครู สอบถามเกี่ยวกับเรื่องการทำสัญญาข้อกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะกรณีเงินที่ไปลงทุนกับบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัดในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่อำเภอหนองหญ้าป้อง จังหวัดเพชรบุรี พื้นที่ 1,200 ไร่ จำนวน 2,100 ล้านบาท และนายสุเทพ ริยาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการกองทุน ช.พ.ค.-ช.พ.ส. เกี่ยวกับนำเงินไปร่วมลงทุนเช่นเดียวกัน ซึ่งตนก็ได้กำชับทั้ง 3 คนให้ความร่วมมือเต็มที่ เรื่องใดที่เป็นที่สงสัยของสังคมก็ต้องทำให้เกิดกระจ่าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเชิญผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาฯ สกสค. ซึ่งอยู่ระหว่างพักการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ มาให้ข้อมูลเมื่อไร นายพินิจศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้ตนตอบไม่ได้ เพราะได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว ดังนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับทางคณะกรรมการสอบสวนฯ ว่าจะเชิญมาให้ข้อมูลเมื่อไร ส่วนกรณีการทุจริตการก่อสร้างอาคารพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ จำนวน 360 ล้านบาท ซึ่งผลการสืบข้อเท็จจริงพบว่ามีมูลนั้น ตนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เช่นกัน เพราะผลการตรวจสอบได้ส่งให้ รมว.ศธ.พิจารณาแล้ว เท่าที่ทราบ รมว.ศธ.ให้ฝ่ายกฎหมายดูว่าสามารถเลิกจ้างได้หรือไม่ โดยในข้อกฎหมายเองก็ระบุไว้ว่าจะสามารถยกเลิกสัญญาเลิกจ้างได้ในกรณีใดบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการ สกสค.
ด้าน พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้มอบหมายให้นายพินิจศักดิ์ทำหนังสือถึงนายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาฯ สกสค. เพื่อขอให้ชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกิจการภายใน สกสค. รวมถึงกรณีการนำเงินไปลงทุนกับบริษัท บิลเลี่ยนฯ จำนวน 2,100 ล้านบาทด้วย ซึ่งตามกำหนดเวลา นายสมศักดิ์จะต้องส่งหนังสือรายงานกลับมาภายในวันที่ 8 พฤษภาคม แต่ขณะนี้ตนยังไม่ได้คุยกับนายพินิจศักดิ์ ว่านายสมศักดิ์ส่งหนังสือรายงานกลับมาหรือยัง ซึ่งต้องรอดูการชี้แจงในหนังสือที่นายสมศักดิ์กลับมาก่อน ว่ามีเนื้อหาข้อมูลที่ชัดเจนครบถ้วนตามประเด็นที่สอบถามไปหรือไม่ หากไม่ครบครบก็อาจจะต้องเชิญนายสมศักดิ์มาชี้แจงด้วยตนเอง
"ศธ.ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ แต่ต้องดูข้อมูลการตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นก่อน ว่ามีการตรวจสอบเรื่องใดไปแล้วบ้าง และเรื่องใดที่ขาดหรือยังไม่ได้ดำเนินการ ก็จะเข้าไปช่วยเสริม ส่วนกรณีที่มอบหมายให้สำนักนิติการไปตรวจสอบข้อกฎหมาย ยกเลิกสัญญาจ้างนายสมศักดิ์ กรณีทำผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ในโครงการก่อสร้างอาคารพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ จำนวน 360 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ทางนิติกรยังไม่ส่งรายละเอียดกลับมา คาดว่าจะอยู่ระหว่างการพิจารณา" รมว.ศธ.กล่าว.
ที่มา ไทยโพสต์ วันที่ 12 พฤษภาคม 2558