'เสี่ยบิ๊ก'แจงใช้เงินคูนาวางเพราะผันผวนน้อย เผยมีเงิน ตปท.กว่า 40 สกุล ด้านปฏิบัติหน้าที่เลขาฯสกสค.เผยเจอทรัพย์สินในห้องรองเลขาฯ และผอ.สำนักฯ
จากกรณีคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เข้ามาตรวจสอบความไม่โปร่งใสภายในสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยพบหลักทรัพย์ที่ทางบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ดกรุ๊ป จำกัด นำมาค้ำประกันเงินที่ สกสค.เพื่อนำไปลงทุนกับโครงการโรงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี วงเงิน 2,100 ล้านบาท เป็นเงินสกุลคูนา โครเอเชีย มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท โฉนดที่ดินกว่า 20 แปลง และเอกสารหลักฐานต่างๆ ภายในห้องทำงานของผู้บริหารของ สกสค. 2 ราย ต่อมานายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. จึงตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ยกเลิกการทำธุรกรรมกับบริษัทบิลเลี่ยนฯ และให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เข้าไปตรวจสอบนั้น
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม นายพินิจศักดิ์ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าว่า ได้กำชับให้ทางผู้บริหาร สกสค.ให้ความร่วมมือในการติดตามและตรวจสอบทรัพย์สิน ถูกระบุว่าอยู่ในห้องของรองเลขาธิการ 1 คน และระดับผู้อำนวยการสำนัก 1 คน โดยกำชับให้ทางคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงเร่งตรวจสอบทรัพย์สินที่พบจำนวน 6 ราย คือ 1.เงินสกุลคูนาประมาณ 1,000 ล้านคูนา 2.เช็คเงินสด 2,100 ล้านบาท 3.ดราฟต์หรือตั๋วแลกเงิน ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.โฉนดที่ดิน จ.เพชรบุรี ราคาประเมินประมาณ 30 ล้านบาท 5.หนังสือสัญญาค้ำประกันตัวเอง และ 6.หุ้นสโมสรฟุตบอลประเทศอังกฤษ ในส่วนของเช็คเงินสดจะต้องไปตรวจสอบดูว่าสามารถขึ้นเงินได้หรือไม่ ได้กำชับให้คณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงประมวลผลก่อนเสนอให้คณะกรรมการ สกสค.พิจารณาใน วันที่ 15 พฤษภาคมนี้
นายพินิจศักดิ์กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการ ศธ.และปลัด ศธ.ได้สั่งการให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ภายในสำนักงาน สกสค. หอพักคุรุสภา และสถานพยาบาลของ สกสค.ว่ามีทั้งหมดกี่ตัว อยู่ในจุดใดบ้าง ที่สำคัญสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นแล้วกล้องไม่สามารถใช้งานได้ ต้องมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ หรือหากจุดใดไม่มีกล้องวงจรปิด ก็ต้องไปติดตั้งเพิ่ม เนื่องจากขณะนี้การตรวจสอบของ คตร.ยังไม่แล้วเสร็จ จึงต้องคอยตรวจสอบว่ามีใครเข้าออกบริเวณใดบ้าง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของ คตร. ตนได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดด้วย ส่วนการตรวจสอบของหน่วยงาน อื่นๆ นั้น ขณะนี้ ป.ป.ช.ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือมายัง สกสค.เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเข้าให้ข้อมูล เอกสารหลักฐานต่างๆ ต่อ ป.ป.ช. ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าให้ข้อมูลแล้วในวันที่ 11 พฤษภาคม 3 ราย ได้แก่ นางอำนวยพร วัฒนารมย์ ผู้อำนวยการสำนักการคลัง นายพรเทพ มุสิกวัตร ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคุ้มครองสิทธิครู กรณีลงทุนกับบริษัทบิลเลี่ยนฯ และนายสุเทพ ริยาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการกองทุน ช.พ.ค.-ช.พ.ส. เกี่ยวกับนำเงินไปร่วมลงทุนเช่นเดียวกัน ได้กำชับให้ความร่วมมือเต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเชิญผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สกสค. อยู่ระหว่างถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ มาให้ข้อมูลเมื่อไร นายพินิจศักดิ์กล่าวว่า คงต้องขึ้นอยู่กับทางคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริง ส่วนกรณีการทุจริตการก่อสร้างอาคารพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ 360 ล้านบาท ผลการสืบข้อเท็จจริงพบว่ามีมูลนั้น ไม่สามารถพูดอะไรได้เช่นกัน เพราะผลการตรวจสอบได้ส่งให้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการ ศธ. พิจารณาแล้ว รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ให้ฝ่ายกฎหมายดูว่าสามารถเลิกจ้างได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการ สกสค.
"ยอมรับว่าตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. นอนไม่หลับสักคืน เพราะรู้สึกกังวล ปัญหาที่เกิดขึ้นใน สกสค.ค่อนข้างหนักพอควร แต่น่ายินดีที่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ และดีใจที่ได้รับความไว้วางใจให้มาทำงานนี้ ดังนั้นพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด" ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค.กล่าว
พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มอบหมายให้นายพินิจศักดิ์ทำหนังสือถึงนายสมศักดิ์ ให้ชี้แจงในประเด็นกิจการภายใน สกสค. รวมถึงกรณีนำเงินไปลงทุนกับบริษัทบิลเลี่ยนฯด้วย ตามกำหนดเวลานายสมศักดิ์จะต้องส่งหนังสือรายงานกลับมาภายใน วันที่ 8 พฤษภาคม แต่ขณะนี้ตนยังไม่ได้คุยกับนายพินิจศักดิ์ว่านายสมศักดิ์ส่งหนังสือรายงานกลับมาหรือยัง ต้องรอดูการชี้แจงก่อนว่ามีข้อมูลครบถ้วนตามที่สอบถามไปหรือไม่ หากไม่ครบ ก็อาจจะต้องเชิญนายสมศักดิ์มาชี้แจงด้วยตนเอง ศธ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ต้องดูข้อมูลการตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นก่อนว่าตรวจสอบเรื่องใดไปแล้วบ้าง เรื่องใดที่ขาดหรือยังไม่ได้ดำเนินการ ก็จะเข้าไปช่วยเสริม กรณีมอบหมายให้สำนักนิติการไปตรวจสอบข้อกฎหมายตามที่ นพ.กำจร ตติยกวี ปลัด ศธ. เสนอให้ยกเลิกสัญญาจ้างนายสมศักดิ์ กรณีทำผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ในโครงการก่อสร้างอาคารพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ นั้น ขณะนี้นิติกรยังไม่ส่งรายละเอียดกลับมา คาดว่าอยู่ระหว่างการพิจารณา
แหล่งข่าวผู้บริหาร สกสค.กล่าวว่า สำหรับ 6 รายการที่บริษัทบิลเลี่ยนฯวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันนั้น คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.เงินสกุลคูนา ประเทศโครเอเชียเกือบ 1,000 ล้านคูนา คิดเป็นเงินไทยประมาณ 5,000 ล้านบาท 2.โฉนดที่ดิน มูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท 3.ดราฟต์ธนาคารเอชเอสบีซี มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,200 ล้านบาท 4.เช็คธนาคาร จำนวน 2,100 ล้านบาท 5.ใบหุ้นสโมสรฟุตบอลดังในประเทศอังกฤษ และ 6.หนังสือสัญญาค้ำประกัน
นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านสังคม กล่าวถึงความคืบหน้ากรณี คตร.เข้ามาตรวจสอบความไม่โปร่งใสใน สกสค. องค์การค้าของ สกสค. และคุรุสภา ว่าไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียดการตรวจสอบระดับกระทรวง เนื่องจาก พล.ร.อ.ณรงค์เป็นผู้กำกับดูแลอยู่แล้ว ยังไม่ได้รายงานความคืบหน้า คาดว่าอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเพราะมีบุคคลและเอกสารจำนวนมากต้องศึกษารายละเอียด ส่วน พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ประธาน คตร. ก็ยังคงเดินหน้าตรวจสอบต่อไปหากมีความคืบหน้าก็จะรายงานมาให้ทราบ
นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ "เดอะบิ๊ก" ประธานกรรมการบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ดกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า หลังจากร่วมลงทุนกับ สกสค.มูลค่า 2,100 ล้านบาท ทาง สกสค.ให้ตนนำทรัพย์สินมาค้ำประกัน จึงได้นำโฉนดที่ดินกว่า 1 พันไร่ รวมทั้งเงินสกุลโครเอเชียมาค้ำประกันด้วย สาเหตุที่นำเงินสกุลดังกล่าวมาค้ำประกันแทนที่จะเป็นสกุลใหญ่หรือสกุลสากล เนื่องจากทำธุรกิจร่วมกับหลายบริษัททั่วโลก โดยคู่ค้านำเงินสกุลต่างๆ นอกเหนือจากสกุลสากล โดยมีอีกกว่า 40 สกุลทั่วโลกมาใช้ในการทำการค้า ทำให้มีเงินสกุลโครเอเชีย รวมถึงสกุลอื่นๆ อาทิ อิหร่าน เรียว รัสเซีย ในบริษัทค่อนข้างมาก นอกจากนี้อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะเงินสกุลโครเอเชียเป็นสกุลเล็ก ไม่ได้เป็นสากลมาก จึงทำให้อัตราการแลกเปลี่ยนมีความผันผวนน้อย ค่าเงินไม่ลดหรือเพิ่มมากจนเกินไป อย่างไรก็ตามขอย้ำว่าในคดีที่มีการแจ้งความหรือฟ้องร้องจะขอสู้ถึงที่สุด เนื่องจากทำให้ตนและบริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง
ที่มา มติชน ฉบับวันที่ 13 พ.ค. 2558 (กรอบบ่าย)