"กำจร" เผย คตร.เข้าขอข้อมูลเกี่ยวกับ สกสค.-องค์การค้า-คุรุสภา วันที่ 28 เม.ย.นี้ ห่วง คตร.ล้วงบัญชีบุคคลไม่ได้ เตรียมประสานดีเอสไอช่วยตรวจสอบบัญชีส่วนบุคคล ชี้ขณะนี้ สกสค.ยังไม่ได้เงิน 2,100 ล้านคืน ลั่นต้องมีผู้รับผิดชอบ
วันนี้ (27 เม.ย.) รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตนได้รับการประสานจากคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ว่า ในวันที่ 28 เม.ย.นี้ จะเข้ามาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) องค์การค้า ของสกสค. และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าทาง คตร. จะเข้ามาสอบถามในประเด็นใดบ้าง แต่ตนพร้อมให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ ในการตรวจสอบกรณีการทุจริตต่างๆ ของทั้ง 3 หน่วยงาน อาจต้องมาพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของ คตร.ด้วย เพราะ คตร. สามารถตรวจสอบได้เฉพาะระบบบัญชีของภาครัฐ แต่ถ้าเป็นเรื่องบุคคล เช่น กรณีที่มีบุคคลรับเงินเข้าบัญชีอย่างไม่ถูกต้อง คตร.จะไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบบัญชีของบุคคลนั้นได้ ดังนั้น ต่อไปหากการสืบสวนมีความชัดเจนว่ามีบุคคลใดกระทำการทุจริต ก็อาจต้องประสานกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เข้ามาช่วยดำเนินการ เพราะดีเอสไอมีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบบัญชีส่วนบุคคลได้
ปลัด ศธ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีที่ สกสค. นำเงินสมาชิกโครงการการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) จำนวน 2,100 ล้านบาท ไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ในพื้นที่ 1,200 ไร่ กับบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด นั้น เท่าที่ทราบโครงการนี้เริ่มขึ้นในปี 2556 โดยบริษัทบิลเลี่ยนฯ ให้สกสค. ซื้อตั๋วสัญญามูลค่า 2,100 ล้านบาท และคณะกรรมการบริหารกองทุนช.พ.ค. ก็ได้หารือและอนุมัติทันทีในสัปดาห์ต่อมา โดยอ้างว่าตนเองมีอำนาจสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย ซึ่งในการลงทุนระบุว่าบริษัทบิลเลี่ยนฯ จะต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับสกสค. ในปี 2557 แต่ทางบริษัทบิลเลี่ยนฯ ก็ไม่ได้คืนเงินให้ สกสค. โดยผลัดผ่อนด้วยการชำระเป็นดอกเบี้ยแทน ซึ่งการซื้อตั๋วสัญญาของ สกสค. ก็ถือว่ามีความผิด เพราะตามกระบวนการแล้ว ต้องมีสถาบันบันทางการเงินเข้ามาค้ำประกัน แต่กรณีนี้ไม่มี และต่อมาได้ขอเปลี่ยนจากการลงทุนจากตั๋วสัญญามาเป็นการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าฯ จนถึงปัจจุบัน สกสค.ก็ยังไม่ได้รับเงินจำนวน 2,100 ล้านบาทคืน ซึ่งคงต้องตรวจสอบว่า เจ้าของบริษัทบิลเลี่ยนฯ มีความเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการบริหาร ช.พ.ค. หรือผู้บริหารในสกสค.ด้วยหรือไม่ เพราะเงินจำนวนนี้ควรเป็นของครูที่เป็นสมาชิกช.พ.ค.ทุกคน ดังนั้นหากไม่ได้คืนก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ.
Advertisement
“ส่วนตัวยังไม่ได้เห็นสัญญาดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าฯ ที่สกสค. ทำกับบริษัทบิลเลี่ยนฯ แต่ได้ให้นโยบายกับนายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการศธ. ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ไปดูรายละเอียด รวมถึงโครงการก่อสร้างอาคารพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ จำนวน 360 ล้านบาทด้วย เพราะจากการสืบข้อเท็จจริงพบว่า การดำเนินงานไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 โดยเรื่องใดที่ต้องดำเนินคดีอาญาตามกฎหมาย ก็ขอให้เร่งดำเนินการ” รศ.นพ.กำจร กล่าวและว่า ส่วนที่คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงการทุจริตก่อสร้างอาคารพัฒนาครูฯ เสนอให้มีการยกเลิกสัญญาจ้าง นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการสกสค. นั้น รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้สำนักนิติการตรวจสอบรายละเอียด เพราะการยกเลิกสัญญาจ้างในระหว่างที่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจทำให้ความผิดตามตำแหน่งลดน้อยลง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ.
ที่มา เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2558