"...การบริหารงานของ คุรุสภา ซึ่งเกี่ยวกับข้องกับการออกใบอนุญาตควบคุมกำกับดูแลครู และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานด้านสิทธิประโยชน์ของครู ถูกมองว่าเป็นแดนสนทยา มาโดยตลอด เพราะมีอำนาจในการบริหารงานที่แยกเป็นเอกเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณ การแก้ไขโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยให้รัฐมนตรี เข้าไปกำกับดูแล ก็เพื่อให้กระบวนการตรวจเรื่องการใช้จ่ายเม็ดเงินในช่วงที่ผ่านมา และช่วงต่อไป ทำงานได้ง่ายขึ้น..."
ในช่วงหัวค่ำวันที่ 17 เม.ย.58 ที่ผ่านมา นอกเหนือจาก "คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 6/2558 เรื่อง การกำหนดตำแหน่งเพิ่มและการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การ โยกย้ายตำแหน่งข้าราชการระดับสูงในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 6 คนรวด (รวมถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงด้วย )
โดยระบุเหตุผลชัดเจนว่า เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการ มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557
บ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า มาตรา 44 ได้ถูกนำมาใช้งานอย่างเต็มที่แล้ว ในประเด็นเรื่องการสั่งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง โดยเริ่มต้นประเดิมที่กระทรวงศึกษาธิการ เป็นแห่งแรก
ยังมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อีกฉบับหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างอำนาจการบริหารงานขององค์กรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 3 แห่ง ออกตามมาพร้อมๆ กัน
และดูเหมือนคำสั่งฉบับนี้ จะพุ่งเป้าไปที่เรื่องการตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ของกระทรวงศึกษา โดยเฉพาะ
คำสั่งฉบับนี้ คือ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 7/2558 เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
ระบุว่า เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
"ข้อ ๑ ให้บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งต่อไปนี้อยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่ง
(๑) กรรมการคุรุสภาตามมาตรา ๑๒ (๑) (๓) (๔) และ (๕) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖
(๒) กรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา ๖๔ (๓)และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖
(๓) กรรมการในคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
ทั้งนี้ มิให้มีการแต่งตั้งบุคคลขึ้นมาแทนที่ผู้ดำรงตำแหน่งข้างต้นจนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติสิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ข้อ ๒ ให้คณะกรรมการคุรุสภาตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนและหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น เป็นกรรมการ และให้เลขาธิการคุรุสภาเป็นเลขานุการ
ข้อ ๓ ให้คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเลขาธิการคุรุสภา และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นกรรมการ และให้เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นกรรมการและเลขานุการให้คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วย
ข้อ ๔ ในกรณีที่เห็นสมควร หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจมีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการตามข้อ ๒ และข้อ ๓ ได้ตามความเหมาะสม
ข้อ ๕ ให้บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งต่อไปนี้อยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับหยุดการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนจนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
(๑) เลขาธิการคุรุสภา
(๒) เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
(๓) ผู้อำนวยการองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู
และบุคลากรทางการศึกษา
ข้อ ๖ ในระหว่างที่บุคคลตามข้อ ๕ หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณามอบหมายให้รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการในระดับเดียวกันขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งตามข้อ ๕ ไปพลางก่อน
ข้อ ๗ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๕/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตรวจสอบความถูกต้องและโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารการเงินทรัพย์สิน และผลประโยชน์อื่นใด ของคุรุสภา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งตรวจสอบการดำเนินโครงการที่สำคัญภายใต้การดำเนินงานของบุคคลตามข้อ ๑ และข้อ ๕ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แล้วรายงานผลการตรวจสอบให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบโดยเร็ว
ข้อ ๘ เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติสิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแล้วให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการตามข้อ ๑ ตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา และเมื่อได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ให้คำสั่งนี้เป็นอันยกเลิก
ข้อ ๙ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ"
หากจะย้อนข้อมูลการทำงานของ คณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ในช่วงที่ผ่านมา
จะพบว่าองค์กรทั้ง 3 แห่ง ประสบปัญหาถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใสหลายเรื่อง อาทิ การเรียกรับเงินจากผู้เข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้แทนคุรุสภา , กรณีการจัดซื้อจัดจ้างเช่าเครื่องพิมพ์หนังสือเรียน ที่ล่าช้าและมีราคาสูงกว่าราคากลางมาก รวมถึงกรณีการรับฝากขายหนังสือจากบริษัทเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่ง
และล่าสุด กับกรณีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งถูกร้องเรียนว่ามีการอนุมัติเงินกองทุนกว่า 2 พันล้านบาท ไปร่วมลงทุน ทำโครงการโรงงานไฟฟไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กับ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ของนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ เดอะบิ๊ก นักธุรกิจชื่อดัง โดยไม่ถูกต้อง
และปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทั้งนี้ หากพิจารณารายละเอียดในคำสั่ง ซึ่งมีการระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ เลขาธิการคุรุสภา , เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา , ผู้อำนวยการองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู
และบุคลากรทางการศึกษา หยุดการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนจนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
พร้อมสั่งการให้ คตร. เข้ามาตรวจสอบถูกต้องและโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารการเงินทรัพย์สิน และผลประโยชน์อื่นใด ของ องค์กรทั้ง 3 แห่ง รวมถึงตรวจสอบการดำเนินโครงการที่สำคัญภายใต้การดำเนินงานของบุคคลเหล่านี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะต้องมีข้อมูล ความไม่ชอบมาพากล ขององค์กร ทั้ง 3 แห่ง อยู่ในระดับหนึ่ง และข้อมูลอาจจะมีความเชื่อมโยงไปถึงตัวของผู้บริหารของบางองค์กรด้วย จึงทำให้ต้องมีการออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว เพื่อไม่ให้มีอำนาจเข้ามียุ่งเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบของ คตร.
ขณะที่ การบริหารงานของ คุรุสภา ซึ่งเกี่ยวกับข้องกับการออกใบอนุญาตควบคุมกำกับดูแลครู และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานด้านสิทธิประโยชน์ของครู ถูกมองว่าเป็นแดนสนทยา มาโดยตลอด เพราะมีอำนาจในการบริหารงานที่แยกเป็นเอกเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณ การแก้ไขโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยให้รัฐมนตรี เข้าไปกำกับดูแล
เพื่อให้กระบวนการตรวจเรื่องการใช้จ่ายเม็ดเงินของทั้ง 3 องค์กร ในช่วงที่ผ่านมา และช่วงต่อไป ทำงานได้ง่ายขึ้น
ส่วนผลการปฏิบัติงานหลังการออกคำสั่ง คสช. ในส่วนของกระทรวงศึกษาฯ จะออกมาเป็นอย่างไร "ใคร" ที่จะต้องถูกเชือดไก่ ให้ลิงดู เป็นรายแรก กับปฏิบัติการใช้อำนาจมาตรา 44 ล้างขั้วอำนาจเก่า รวมถึงการสะสางปัญหาทุจริต ครั้งนี้ ยังไม่มีใครบอกได้ชัดเจน
แต่เบื้องต้น มีกระแสข่าวยืนยันจากทำเนียบรัฐบาล ยืนยันออกมาว่า ในช่วงก่อนที่จะมีการออกคำสั่งคสช. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการทั้ง 2 ฉบับ ออกมา
พล.อ.ประยุทธ์ ได้เชิญตัวแทน จากหน่วยงานด้านตรวจสอบ อาทิ สำนักงาน ปปท. และ สตง. เข้าไปหารือ เกี่ยวกับรายชื่อของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 100 คน ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น
โดยเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ มีนโยบายว่าบรรดารายชื่อ ที่ถูกเสนอมา จะมีการใช้มาตรการโยกย้ายให้ออกไปจากตำแหน่งก่อน และให้หน่วยงานเข้าไปตรวจสอบหาหลักฐานการกระทำความผิดที่ชัดเจนอีกครั้ง เพื่อให้ปฏิบัติการครั้งนี้ ไม่ให้ถูกโจมตีว่าเป็นการใช้อำนาจมากเกินไป
และปล่อยให้กระบวนการตรวจสอบได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ผู้ถูกกล่าวหา จะไปร้องเรียน "กล่าวโทษ" ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ทำได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากจำนวนรายชื่อ ขรก. 100 คน ที่ถูกคัดกรองมาในระดับหนึ่ง ที่อยู่ในมือของพล.อ.ประยุทธ์ เวลานี้ ซึ่งมีทั้งจากหน่วยงานในส่วนกลาง -ต่างจังหวัด รวมถึงรูปแบบวิธีการจัดการปัญหาทั้งระบบ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บรรดาข้าราชการระดับสูง ในกระทรวงใหญ่หลายแห่ง รวมถึงในระดับจังหวัด ถึงกับออกอาการเก้าอี้ร้อนนั่งไม่ติด รีบเช็คข่าวกันเป็นมือระวิง
เพราะเริ่มพอจะเห็น "ชะตา" "รู้อนาคต" กันแล้วว่า "มหันตภัย" จาก "กรรมเก่า" ที่เคยทำไว้ในอดีต กำลังจะเดินทางมาถึงตัวในเร็วๆ นี้
-------------
ที่มาจาก สำนักข่าวอิศรา วันเสาร์ ที่ 18 เมษายน 2558