วันนี้(30มี.ค.) ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) เปิดเผยว่า ตามที่มีเรื่องร้องเรียนหลายประเด็นเกี่ยวกับ สกสค.นั้น ตนได้มอบให้สำนักนิติการ สำนักงานปลัด ศธ. รวบรวมข้อมูลประเด็นข้อร้องเรียนต่าง ๆ แล้ว ทั้งกรณีปัญหาการทุจริตภายในองค์การค้า ของ สกสค. ปัญหาการทุจริตการก่อสร้างอาคารพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ จำนวน 360 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองกรณีได้ตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงไปแล้ว รวมถึงกรณีล่าสุดที่ว่า สกสค.นำเงินโครงการการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) จำนวน 2,100 ล้านบาท ไปลงทุนกับบริษัทเอกชน ซึ่งมีการระบุว่าเป็นการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ด้วย
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศธ. กล่าวว่า ตนได้ทำหนังสือถึงปลัด ศธ. ฐานะประธาน บอร์ด สกสค.เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ให้ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีการนำเงิน ช.พ.ค.ไปใช้แล้ว โดยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ซึ่งคิดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนั้นยังได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อร้องเรียนต่าง ๆ ย้อนหลังด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลเพราะบางเรื่องเกิดมานานเป็น 10 ปีแล้ว อย่างไรก็ตามได้ย้ำไปแล้วว่าต้องดำเนินการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย
ด้าน นายประวิทย์ บึงไสย์ กรรมการกองทุน ช.พ.ค. กล่าวว่า เงิน ช.พ.ค.ที่พูดถึง เป็นเงินจากข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค.ที่ธนาคารออมสินคืนค่าตอบแทน 1% ให้ตั้งเป็น"กองทุน"ประกันหนี้ มีระเบียบ วัตถุประสงค์ และการบริหารในรูปคณะกรรมการ หากผู้กู้เงินค้างชำระตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ให้ธนาคารออมสินหักหนี้จากกองทุนนี้ได้ และปัจจุบันนำไปลดดอกเบี้ยให้สมาชิก 50 สตางค์ ส่วนที่เหลือนำไปสนับสนุนภารกิจของ สกสค. เป็นค่าก่อสร้าง/ซื้ออาคาร สกสค.จังหวัด กองทุนครูใต้เสียชีวิตศพละ 5 แสนบาท กองทุนช่วยเหลือครูบุคลากรต่างๆรางวัลเชิดชูครูดี เงินทุนหมุนเวียนเรียนต่อ ปริญญาโท/เอก ฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตร เป็นต้น อย่างไรก็ตามขอย้ำว่า ตามมติคณะกรรมการกองทุนไม่เคยให้ใครกู้ยืมเงิน ที่สำคัญเงินกองทุนนี้ไม่ใช่เงินสมาชิกช.พ.ค. ไม่เกี่ยวข้องกับเงินสงเคราะห์ศพละ 1 บาทแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะโกงเงินนี้ได้ นอกจากสมาชิก ช.พ.ค.ที่ไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้กว่า 2,800 ล้านบาท ดังนั้นเรื่องที่ควรทำขณะนี้ คือ ช่วยกันไปตามหนี้คืนกองทุนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมจะดีกว่า.
ที่มา เดลินิวส์ วันจันทร์ 30 มีนาคม 2558