สพฐ.เผยประเมินครูภาษาอังกฤษต้องได้คะแนนในระดับสูงกว่าที่สอน ใช้โรงเรียนเป็นสนามสอบและมีผู้คุมสอบเพื่อป้องกันโกง โดยให้เวลาทำแค่ 1 ชั่วโมง ยันผลที่ได้ไม่เกี่ยววิทยฐานะ ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ต้องเข้าอบรม
นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวถึงการวัดผลประเมินครูภาษอังกฤษที่จะมีการจัดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ ว่า โดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานการประเมินความสามารถทางภาษา หรือ Common European Framework of Reference for Languages (CEFR) ซึ่งแบบทดสอบนี้จะเน้นทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ฟัง อ่าน พูด เขียน โดยตัวแบบทดสอบจะกำหนดสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมทดสอบได้ตอบคำถาม เช่น การฟังจะมีการทดสอบการฟังบทสนทนาต่างๆ, การฟังการอ่านบทความ เป็นต้น เนื่องจากข้อสอบดังกล่าวเป็นระบบที่ปฏิบัติการแบบออนไลน์ ทำให้ข้อสอบของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน และขณะที่ครูทำข้อสอบก็จะมีการประเมินอยู่ตลอด เช่น หากครูทำข้อสอบในระดับง่ายได้อย่างรวดเร็ว ระบบก็จะส่งข้อสอบที่มีระดับสูงขึ้นมาให้ครูทดลองทำ เป็นต้น
ทั้งนี้ ระดับการวัดความสามารถในการทดสอบครั้งนี้มีทั้งหมด 6 ระดับคือ A1 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษของเด็กระดับประถมศึกษา หรือเทียบคะแนน TOEIC 0-110 คะแนน, A2 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษของเด็กระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หรือเทียบคะแนน TOEIC 110-250 คะแนน, B1 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษของเด็กระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบคะแนน TOEIC 255-400 คะแนน, B2 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษของเด็กในระดับอุดมศึกษา หรือเทียบคะแนน TOEIC 405-600 คะแนน, C1 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษที่มีเกือบจะเทียบเท่าเจ้าของภาษา หรือเทียบคะแนน TOEIC 605-780 คะแนน และระดับสุดท้าย C2 สามารถเทียบกับความรู้ด้านภาษาอังกฤษเทียบเท่ากับเจ้าของภาษา หรือเทียบคะแนน TOEIC 785-990 คะแนน
อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบสอบครั้งนี้ตนได้มอบหมายให้เขตพื้นที่ฯ ที่เข้าร่วมการประเมินจัดหาโรงเรียนที่มีความพร้อมทางด้านคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นสนามในการจัดการทดสอบ และแต่ละห้องสอบจะมีผู้คุมสอบอยู่ด้วย เนื่องจากตัวแบบทดสอบเป็นลักษณะออนไลน์ที่มีเวลาในการทำเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น และตัวแบบทดสอบซึ่งเป็นโปรแกรมจะส่งข้อสอบระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาทดสอบครู หากมีการทำมั่ว หรือทำผิดซ้ำๆ แบบทดสอบจะส่งข้อสอบในระดับเดิมซ้ำๆ จนหมดชั่วโมง จะไม่มีการเลื่อนไปในระดับที่ยากขึ้น แต่ถ้าหากทำข้อสอบได้ โปรแกรมก็จะส่งข้อสอบระดับที่ยากขึ้นมาให้ทำอีกเรื่อยๆ จนหมดชั่วโมง ซึ่งผลการทดสอบที่ได้ โปรแกรมจะทำหน้าที่ประมวลผลเอง
สำหรับเกณฑ์การพิจารณา นายกมลกล่าวว่า ครูที่ผ่านเกณฑ์ควรจะมีครูที่ทำการประเมินที่จะได้ระดับความสามารถมากกว่าระดับที่ตนสอนอยู่ในปัจจุบัน เช่น หากสอนระดับประถมก็ควรจะได้ระดับการสอนระดับมัธยม เป็นต้น แต่หากได้ผลประเมินน้อยกว่าก็จะต้องมีการเข้าอบรมและพัฒนาอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม การทดสอบในครั้งนี้จะไม่มีผลต่อการปฏิบัติงานหรือวิทยฐานะของครูแต่อย่างใด เพราะเป็นการประเมินเพื่อจับกลุ่มและวัดระดับความสามารถของครูเท่านั้น และหากจะนำมาใช้เพื่อกำหนดวิทยฐานะของครูแล้ว ลักษณะข้อสอบจะต้องมีความละเอียด มีระดับที่ยาก และต้องมีเวลาทำแบบทดสอบอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์