สวัสดีค่ะ เพื่อนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน ดิฉันได้เคยนำเสนอเรื่องที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาถูกลงโทษตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 2 เดือน กรณีไม่รักษาชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย โดยกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วเรื่องออกนอกบริเวณโรงเรียนบ่อยๆ พูดจาไม่สุภาพเรียบร้อย และที่สำคัญกู้ยืมเงินจากกองทุนต่างๆ 3 กองทุนแล้วมีเจตนาไม่ชำระหนี้ ซึ่งเป็นความผิดวินัยไปแล้วนั้น
ในวันนี้อยากนำเสนอเรื่องที่เกิดขึ้นจริงระหว่างปี พ.ศ.2549-2550 เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้เพื่อนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาพึงรักษาชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย มีข้อเท็จจริงโดยสรุปดังนี้ นาย ก. (รองผู้บริหารการศึกษา) และนาย ข. (ผู้อำนวยการสถานศึกษา) เขตพื้นที่การศึกษาแห่งหนึ่ง ร่วมกันกระทำโดยนาย ก. เป็นผู้ซื้อบริการทางเพศนักเรียนหญิง ม.5 โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนาย ข. เป็นผู้นำเบอร์โทรศัพท์ของนักเรียนผู้ขายบริการมาให้เพื่อดูแล เอาใจ ผู้บังคับบัญชา (เจ้านาย) เมื่อได้เบอร์โทรศัพท์มา นาย ก. ได้โทรติดต่อเพื่อตกลงซื้อขายบริการทางเพศกับนักเรียนคนดังกล่าว นัดแนะสถานที่ไปรับ โดยใช้ไหว้วานให้นาย ข. เป็นผู้ขับรถพาตนไปรับนักเรียนหญิง ม.5 ที่ตกลงซื้อ-ขายบริการ แล้วพาไปส่งที่โรงแรมม่านรูด เมื่อนาย ข. พาทั้งสองไปส่งที่โรงแรมม่านรูดแล้ว นาย ข. ได้อยู่บริเวณใกล้เคียงเพื่อรอคอยการซื้อ-ขายบริการทางเพศแล้วเสร็จ เมื่อเสร็จกิจดังกล่าว นาย ก. (เจ้านาย) ก็โทรศัพท์เข้ามือถือของ นาย ข. ให้ขับรถเข้าไปรับตนและนักเรียนหญิง ม.5 เพื่อพาไปส่งลงรถที่จุดนัดหมาย หลังจากนั้น นาย ก. (เจ้านาย) ได้ขอให้ นาย ข. (ลูกน้อง) เป็นธุระโอนเงินค่าใช้จ่ายให้นักเรียนหญิงคนดังกล่าว 5,000 บาท และต่อมา นาย ก. ได้พานักเรียนหญิง ม.5 ที่ขายบริการทางเพศให้กับตนไปซื้อโทรศัพท์มือถือราคาประมาณ 12,000 บาท ต่อมา ผู้ปกครองสังเกตเห็นความผิดปกติของนักเรียนในปกครองของตนว่ามีการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยและทราบเรื่อง จึงเข้าร้องเรียน ผู้บังคับบัญชาได้แต่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
คณะกรรมการสอบสวนวินัย ผู้บังคับบัญชาและ ก.ค.ศ. โดย อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ (ที่ทำการแทน ก.ค.ศ.) พิจารณาแล้วเห็นสอดคล้องกันว่าพฤติกรรมของ นาย ก. เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 94 วรรคสองและวรรคสามแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 กรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและกรณีกระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษา ไม่ว่าจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนหรือไม่ ก.ค.ศ.จึงมีมติให้ลงโทษไล่ออกจากราชการ
ส่วน นาย ข. แม้มิได้เป็นผู้ร่วมซื้อ-ขายโดยตรง แต่ตามพฤติการณ์เป็นการร่วมสนับสนุนให้การกระทำของ นาย ก. สำเร็จผลด้วยดี เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (เช่นกัน) ตามมาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน กรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ก.ค.ศ.จึงมีมติให้ลงโทษปลดออกจากราชการ ต่อมา นาย ก. และนาย ข. ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งลงโทษต่อ ก.ค.ศ. ก.ค.ศ.พิจารณาแล้วเห็นว่าทั้งสองคนกระทำความผิดจริง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกอุทธรณ์ ทั้งสองคนจึงไปฟ้องเป็นคดีปกครอง ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง นาย ก. ไม่อุทธรณ์คำพิพากษา แต่ นาย ข. ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นข้อเตือนใจได้เป็นอย่างดีว่าการซื้อ-ขายบริการทางเพศกับนักเรียนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องไม่กระทำเด็ดขาด เพราะนอกจากจะขัดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพครูแล้ว ยังมีโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงด้วย
สถานี ก.ค.ศ. ฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้ายของดิฉันในตำแหน่งเลขาธิการ ก.ค.ศ. เนื่องจากดิฉันได้รับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ซึ่งจะต้องไปปฏิบัติภารกิจใหม่ภายหลังวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกท่านยังสามารถติดตามข่าวสารและสาระความรู้ดีๆ จาก สถานี ก.ค.ศ. ของสำนักงาน ก.ค.ศ.ได้ต่อไป ท้ายที่สุดนี้ ดิฉันขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามข่าวสารต่างๆ จาก สถานี ก.ค.ศ. และขออำลาทุกๆ ท่าน หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในโอกาสต่อไป
ศิริพร กิจเกื้อกูล
เลขาธิการ ก.ค.ศ.
ที่มา มติชน วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558