สพฐ.เล็งทบทวนO-Net 50:50 หลังนักเรียนฟ้องศาลปกครองขอชะลอ
นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยกรณีกลุ่มเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพฯ ยื่นฟ้อง พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ และตน ต่อศาลปกครองกลาง กรณีกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ออกประกาศเรื่องการปรับสัดส่วนการใช้ผลแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) เป็นองค์ประกอบหนึ่ง ในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน ที่จบการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ลงวันที่ 4 ธ.ค.56 ที่กำหนดให้ใช้ผลการเรียน ที่ประเมินโดยสถานศึกษาและผลคะแนน O-Net ที่จัดโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ในปีการศึกษา 2557 ด้วยสัดส่วน 70:30 ปรับเป็น 50:50 ในปีการศึกษา 2558
โดยผู้ร้องได้ขอให้ รมว.ศึกษาธิการ และเลขาธิการ กพฐ. ยกเลิกประกาศดังกล่าว เนื่องจากข้อสอบที่ สทศ.ออกไม่มีความเป็นกลางทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ จึงขอให้ศาล มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ยังไม่ต้องนำคะแนน O-Net มาใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่ง ในการพิจารณาการจบช่วงชั้นจนกว่าศาลจะมีคำสั่ง ซึ่งเรื่องนี้ สพฐ.ก็รับฟัง และพร้อมชี้แจงต่อศาลปกครอง และถ้าศาลปกครองมีคำสั่งอย่างไร สพฐ.ก็พร้อมที่จะปฏิบัติ
"คะแนน O-Net ไม่ได้ทำให้เด็กที่อยู่ในโรงเรียนต่างกัน หรือเสียสิทธิ์ เพราะคะแนน O-Net ใช้ในการตัดสินในชั้นเรียนเพื่อให้จบการเรียนแต่ละช่วงชั้นเท่านั้น ซึ่งแข่งขันในกลุ่มนักเรียนด้วยกันในแต่ละพื้นที่ จะไม่เหลื่อมล้ำกันมากนัก ซึ่งเบื้องต้นเราใช้เพียง 30% ในปี 2557 แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มสัดส่วนคะแนนโอเน็ตมาเป็น 50% ในปี 2558 สพฐ.มีความเห็นว่าอาจจะเพิ่มเร็วเกินไป และตอนนี้ก็เตรียมทบทวน ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ไม่เห็นด้วย น่าจะใช้สัดส่วนคะแนนO-Net 30% สัก 2-3 ปีไปก่อน เมื่อลงตัวแล้วค่อยเพิ่มไปทีละสเต็ป ซึ่งก่อนหน้านี้ ที่จะประกาศเพิ่มสัดส่วน O-Net มาใช้ประกอบ 50% ก็มีความคิดเห็นแย้งกันมากพอสมควร"นายกมล กล่าว
ที่มา สยามรัฐ
สพฐ.เล็งทบทวนใช้โอเน็ตจบช่วงชั้น
วันนี้ (16 ก.พ.)ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงกรณีที่กลุ่มนักเรียนเครือข่ายยุวทัศน์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ออกประกาศเรื่องการปรับสัดส่วนการใช้ผลแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนที่จบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.2551 เนื่องจากข้อสอบไม่มีความเป็นกลางสร้างความเหลื่อมล้ำ และสร้างความหนักใจให้แก่ผู้เรียน ว่า ตนเข้าใจถึงปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างดีและเตรียมที่หารือกับสำนักติดตามและประเมินผลทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เพื่อทบทวนประกาศดังกล่าว ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยใช้อำนาจ รมว.ศึกษาธิการ ส่วนเรื่องข้อสอบที่ไม่มีความเป็นกลางนั้น เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) ที่จะไปดำเนินการเรื่องการออกข้อสอบให้มีความเป็นกลางและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า ปีการศึกษา 2557 เป็นปีแรกที่โรงเรียนสังกัด สพฐ. ต้องนำคะแนนโอเน็ต มาใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของนักเรียนในระดับ ชั้นป.6 ม.3 และ ม.6 ในสัดส่วน 30% ร่วมกับคะแนนผลการเรียนสะสมตลอดหลักสูตร หรือ จีพีเอเอ็กซ์สัดส่วน 70% ตามที่กำหนดไว้ในประกาศ ศธ. และ จะเพิ่มสัดส่วนคะแนนโอเน็ตเป็น 50%ในปีการศึกษา 2558 จึงทำให้นักเรียนตั้งข้อสังเกตและเห็นว่าเป็นการเพิ่มสัดส่วนที่มากเกินไปจนอาจส่งผลให้เป็นภาระแก่ผู้เรียนได้ ซึ่ง สพฐ.ก็เข้าใจถึงปัญหานี้ และพร้อมจะกลับไปพิจารณาใหม่ เพราะตามหลักการแล้วควรจะขยับคะแนนโอเน็ตจาก 30% เป็น 40% ไล่ไปเรื่อย ๆ มากกว่าการก้าวกระโดดจาก 30% เป็น 50%
“หากจะให้ยกเลิกประกาศการใช้คะแนนสอบโอเน็ตในการตัดสินจบช่วงชั้นในทันที คงไม่สามารถทำได้ แต่หากมองตามหลักวิชาการแล้วเรื่องนี้สามารถพูดคุยทำความเข้าใจและปรับแก้ไขกันได้ เพราะการสอบโอเน็ตจะทำให้เรารู้มาตรฐานภาพรวมของประเทศว่าโรงเรียนแต่ละโรงมีผลสัมฤทธิ์สูงหรือต่ำ เพื่อที่ สพฐ.จะได้ปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนต่อไปได้” ดร.กมลกล่าว
ที่มา เดลินิวส์ วันจันทร์ 16 กุมภาพันธ์ 2558