จากกรณีที่จะมีการปรับโครงสร้างใหญ่กระทรวงศึกษาธิการ โดยจะให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี แล้วใช้ชื่อใหม่ว่า "สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์"
หรือสภาการศึกษาเดิม อีกทั้งมีแนวคิดตั้งคณะบุคคลหรือซุปเปอร์บอร์ดขึ้นมาพิจารณาควบคุมการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการนั้น ผู้บริหารการศึกษาและข้าราชการครูมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว
วิวัฒน์ รุ้งแก้ว ครูโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย ในฐานะกรรมการสภาการศึกษา บอกว่า โครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่ปัญหาจะอยู่ที่ ผู้ปฏิบัติมากกว่า และควรจะปฏิรูปหลักสูตรมากกว่า ขณะนี้ทุกคนพูดถึงแต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีอำนาจเพิ่มขึ้น แต่การปฏิรูปไม่ได้พูดถึง
ธีรวัฒน์ คำศรี รอง ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 4 ให้ความเห็นว่า การปรับโครงสร้างต้องตอบโจทย์ได้ว่าใครได้ประโยชน์ บุคลากรในสังกัดหรือนักเรียน ควรเพิ่มส่วนที่จะช่วยให้นักเรียนมีคุณภาพสูงขึ้น เช่น มีศูนย์วิจัยการจัดการเรียนการสอนประจำจังหวัด ทำหน้าที่วิจัย สนับสนุนการวิจัยการเรียนการสอนของครู ให้ครูรู้ตัวตน รู้จักนักเรียน ช่วยพัฒนานักเรียนอย่างจริงจัง การศึกษาน่าจะมีคุณภาพมากขึ้น
วีระศักดิ์ ปัตตาลาโพธิ์ ผอ.โรงเรียนบ้านดง ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เห็นว่า การปฏิรูปการศึกษาควรเน้นปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอันดับแรก มากกว่าที่จะปรับโครงสร้างระดับกรมหรือกระทรวง รองลงมาคือควรปฏิรูปกระบวนการผลิตครูที่มีจิตสำนึกของความเป็นครู
ดร.ประเสริฐ กำธรเจริญ ผอ.วิทยาลัยสารพัดช่างมหาสารคาม บอกว่า ที่ผ่านมาเน้นปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานโดยขาดการศึกษาแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ทำให้ปฏิรูปการศึกษาไม่สำเร็จ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและการกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่สถานศึกษา การจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนตามจำนวนผู้เรียนจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ควบคู่กับการสร้างคุณภาพ โดยจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย
ดร.ทองพูน ใจประเสริฐ ผอ.โรงเรียนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว เห็นว่า ปัจจุบันการปฏิรูปการศึกษาไทยประสบความล้มเหลว อาจมาจากผู้บริหารสถานศึกษา ขาดวิสัยทัศน์ ขาดทักษะในการจัดการศึกษา เพราะการเข้าสู่ผู้บริหารสถานศึกษามาจากการสอบ แต่หลายคนยังไม่มีประสบการณ์ในการบริหารสถานศึกษา แตกต่างจากอดีตสมัยที่เป็นกรมสามัญศึกษา ผู้ที่จะมาเป็นผู้บริหารสถานศึกษาได้ต้องผ่านการประเมิน มีทักษะการบริหารมาแล้วนับสิบปี รวมทั้งผู้บริหารการศึกษาที่นักการเมืองแทรกแซงแต่งตั้ง มีการเล่นพรรคเล่นพวก
มนวิภา เตโช ครูชำนาญการพิเศษวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนประจวบวิทยาลัย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ บอกว่า การปฏิรูปการศึกษาต้องมีการพัฒนาการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษา เนื่องจากปัจจุบันหลักสูตรเน้นเนื้อหาสาระมากเกินไป ดังนั้น แต่ละรายวิชาควรนำมาบูรณาการร่วมกันเพื่อลดภาระของนักเรียน และในอนาคตต้องเน้นการสอนในเชิงกิจกรรมให้มากขึ้น ให้เด็กทำงานกลุ่ม เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนเป็นคนดี มีน้ำใจ ไม่ใช่เน้นแค่การแข่งขันเพื่อให้เรียนเก่ง แต่ไม่มีคุณธรรมและไร้น้ำใจ
จรี วัชรวงษ์ ผอ.โรงเรียนบ้านบ่อนอก (ทองวิทยา) ต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เห็นว่า การปฏิรูปการศึกษาควรให้ครูได้สอนหนังสืออย่างเดียว งานการเงิน งานพัสดุ หรืองานธุรการควรจัดสรรบุคลากรมาให้ทุกโรงเรียน อาจว่าจ้างนักศึกษาระดับ ปวช.มาทำหน้าที่แทน และควรปฏิรูปหลักสูตรให้ครูสอนในวิชาหลักๆ สำคัญคือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ แล้วเน้นสอนในเชิงพฤติกรรมโดยพิจารณาจากความสามารถของเด็ก ทั้งด้านดนตรี กีฬา ศิลปะ และการเกษตร
อนันต์ มณีรัตน์ ผอ.โรงเรียนศรียาภัย อ.เมือง จ.ชุมพร บอกว่า อยากให้ปฏิรูปหน่วยงานโดยมีเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดนั้นๆ เพราะขณะนี้โรงเรียนมัธยมศึกษาทุกโรงเรียนใน จ.ชุมพรยังต้องขึ้นกับสำนักงานเขตพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เวลาติดต่อราชการแต่ละครั้งต้องเสียเวลาในการเดินทาง นอกจากนี้ ระบบบริหารยังไม่ให้โรงเรียนเป็นนิติบุคคลอย่างแท้จริง เพราะส่วนกลางยังคงหวงอำนาจไว้ เช่น เราต้องการครูคนนี้ที่เราพิจารณาแล้วว่าเก่ง แต่ไม่ให้อำนาจเราบรรจุครูคนนั้น หากเป็นเช่นนี้จะทำให้โรงเรียนมีคุณภาพได้อย่างไร
ผศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ หัวหน้าวิชารัฐศาสตร์ สำนักศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ที่เคยเป็นครูประชาบาลโรงเรียนขนาดเล็กมา 18 ปี มองว่าการปฏิรูปการศึกษาที่เสริมกำลังให้หน่วยงานของรัฐ โรงเรียน เขตพื้นที่การศึกษา โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณสมบัติของผู้เรียนเป็นหลักจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การปฏิรูปการศึกษาต้องปฏิรูปผู้เรียนเป็นหลัก ว่าผู้เรียนที่ดีเป็นอย่างไร ที่เก่งเป็นอย่างไร มีคุณภาพอย่างไร จากนั้นค่อยขยายไปสู่ผู้สอน อุปกรณ์การเรียน ขยายไปสู่ผู้ปกครอง
ถวัลย์ ตันธีระพงศ์ ผอ.โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ให้ความเห็นถึงการตั้งซุปเปอร์บอร์ดเพื่อดูแลการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการว่า เรื่องนี้เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ โครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการปัจจุบันมีการกระจายอำนาจ อยู่แล้ว ต้องเป็นผู้ที่มีผลงานและเติบโตในสายงานมา หากจะตั้งคณะบุคคลขึ้นมาพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงแทน เป็นการดึงอำนาจไปรวบไว้ในมือของคณะบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะส่งผลร้ายต่อระบบการศึกษาไทยอย่างแน่นอน
มานัส นพคุณ ผอ.โรงเรียนเสริมงามวิทยาคม อ.เสริมงาม จ.ลำปาง กลับเห็นต่างว่า ซุปเปอร์บอร์ดเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่จะมีการปฏิรูประบบการศึกษาให้เข้าถึงปัญหาและพัฒนามากยิ่งขึ้น หากเป็นไปได้ก็น่าจะมีสภาการศึกษาระดับจังหวัดขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนมาร่วมถกและร่วมกันรวบรวมปัญหา และส่งแผนการศึกษาไปยังส่วนกลาง แต่หากซุปเปอร์บอร์ดยังกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลางเหมือนเดิมก็คงไม่ต่างอะไรจากที่ผ่านมา เพราะจะไม่เข้าใจถึงแต่ละจังหวัด ขอเน้นย้ำว่าต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นถึงจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิรูประบบการศึกษาของไทย
ณัฐพล นุชอุดม ผอ.โรงเรียนบ้านคลองหลวง ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ สนับสนุนการปฏิรูปการศึกษา เพราะเรายังล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน อาจมีสาเหตุทั้งเรื่องตัวครู เรื่องงบประมาณ เรื่องโครงสร้างต่างๆ ของการศึกษาเมืองไทย ประเด็นที่เราอยากปฏิรูปคือคุณภาพของครูให้เป็นอาชีพที่มีค่า มีเกียรติ ส่วนผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีการกระจายอำนาจ พร้อมให้คณะครู ชุมชน และเอกชนมีส่วนร่วมด้วย
เป็นเสียงจากครูและผู้บริหารการศึกษาในจังหวัดต่างๆ สะท้อนไปถึงผู้มีอำนาจข้างบนได้รับฟัง เพื่อที่จะช่วยให้การปฏิรูปการศึกษาของไทยไม่ล้มเหลวเหมือนที่ผ่านมาอีก
ที่มา --มติชน ฉบับวันที่ 11 ก.พ. 2558 (กรอบบ่าย)--